สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เผยว่า จากที่ช่วงผ่านมา สมาคมฯ นำนำแมตช์ฟุตบอลระดับทีมชาติ ออกไปจัดแข่งขันในจังหวัดที่มีความพร้อมตามมาตรฐานการแข่งขันระดับนานาชาติได้ เช่น ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 43 ที่จังหวัดบุรีรัมย์, ฟุตบอลอุ่นเครื่องของทีมชาติไทย ฟีฟ่าเดย์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี, ชลบุรี และ ปทุมธานี รวมถึง ฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี รอบสุดท้าย ที่จังหวัดสงขลา และ ปทุมธานี

การจัดแข่งขันดังกล่าว สมาคมลูกหนังไทย ระบุว่าได้ผลตอบรับที่ดี เกิดการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ ทำให้ทางผู้บริหารสมาคมฯ ที่นำโดย “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฯ จะเดินหน้าสานต่อแนวนโยบายดังกล่าว ในการนำการแข่งขันฟุตบอลอินเตอร์เนชั่นแนล เอแมตช์ “International ‘A’ Match” ในช่วงปฏิทินฟีฟ่า เดย์ ไปยังจังหวัดที่สนใจ โดยมีเกณฑ์อาทิ สนามแข่งขัน ห้องปฏิบัติการ และสิ่งอำนวยความสะดวก เป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำของไทยลีก หรือ เอเอฟซี (สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย), ไฟส่องสว่างสนามแข่งขันที่ได้มาตรฐาน, สนามซ้อมที่ได้มาตรฐาน มีไฟส่องสว่าง, โรงแรมระดับ 3-5 ดาว เพียงพอต่อการรองรับ บุคลากรในส่วนต่างๆ, อาหารนานาชาติ, การเดินทางจากสนามบินนานาชาติ และสนามบินในประเทศ ที่ไม่ได้อยู่ห่างเกินไป, บุคลากรจัดการแข่งขัน

นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังพร้อมนำกิจกรรมฟุตบอลต่างๆ ลงไปสนับสนุนในช่วงแข่งขัน เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ด้านฟุตบอล อาทิ ฝึกอบรมผู้ฝึกสอน, เปิดฟุตบอลคลินิก

โดยปี 2565 สมาคมฯ จะเริ่มนำรูปแบบโครงการนำร่อง มาทดสอบในช่วงเดือน พ.ค. จนถึง ในช่วงฟีฟ่าเดย์ ก.ย. เพื่อควบคุมคุณภาพและปรับปรุงรายละเอียดต่างๆ ให้สอดคล้องกับเกณฑ์ที่กำหนดไว้ สมาคมฯ จะเปิดให้จังหวัดที่สนใจ ได้ส่งเอกสาร ยื่นความจำนง​ก่อนถึงช่วงปฏิทินฟุตบอลฟีฟ่านานาชาติในแต่ละรอบ เพื่อให้ทั้งฝ่ายจัดการแข่งขัน และสมาคมฯ มีระยะเวลาเพียงพอในการตรวจสอบมาตรฐานของ สถานที่จัดการแข่งขัน และเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับทีมชาติที่จะเข้ามาแข่งขัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเกมอุ่นเครื่องทีมชาติไทยในช่วงเดือน พ.ค. ที่จะมี 3 นัดนั้น หนึ่งในนั้นคือการเตะที่ จ.ศรีสะเกษ ที่ทีมไทย พบ เติร์กเมนิสถาน ในวันที่ 27 พ.ค. ก็เป็นหนึ่งในการนำทีมชาติไทย ไปแข่งขันต่างจังหวัด เช่นเดียวกับอุ่นเครื่องเมื่อเดือน มี.ค. ที่ ไทยไปเตะกับ เนปาล ที่ จ.ชลบุรี