นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 22 เม.ย.65 ที่ระดับ 33.90 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.85 บาทต่อดอลลาร์ โดยมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.80-34.00 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะยังคงรอติดตามรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ของแต่ละประเทศ เพื่อติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยในฝั่งสหรัฐ ตลาดมองว่า ภาคการผลิตอุตสาหกรรมสหรัฐ จะได้รับผลกระทบจากสงครามที่กดดันให้ราคาวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้น พร้อมกับปัญหา Supply Chain ที่รุนแรงขึ้น ทำให้ภาคการผลิตขยายตัวในอัตราชะลอลง

นอกจากนี้ ตลาดจะยังคงติดตามและให้น้ำหนักกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งประเมินว่า หากผลกำไรยังเติบโตได้ดีกว่าคาดก็อาจพอช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาดช่วงนี้ได้ ในทางกลับกัน หากผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจเป็นแรงกดดันต่อตลาดได้รุนแรงในช่วงที่ตลาดเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยง

ส่วนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ตลาดจะรอลุ้นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสในรอบที่ 2 ซึ่งจะรู้ผลในช่วงเช้าตรู่ของวันจันทร์หน้า โดยตลาดมองว่า มีโอกาสกว่า 90% ที่ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง จะสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งได้ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจหนุนให้สกุลเงินยูโร (EUR) แข็งค่าขึ้นได้บ้าง พร้อมกับตลาดหุ้นยุโรปที่อาจเปิดรับความเสี่ยงต่อได้

ขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาท มองว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงเข้าใกล้แนวต้านสำคัญในโซน 33.90-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ตามแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า อาทิ การกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึง โฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผล

อย่างไรก็ดี เงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าทะลุแนวต้านสำคัญดังกล่าว เนื่องจากบรรดาผู้ส่งออกต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าว แต่ควรจับตาฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติ เพราะหากนักลงทุนต่างชาติกลับมาเทขายทั้งหุ้นและบอนด์อย่างชัดเจน ก็มีโอกาสที่เงินบาทจะอ่อนค่าหลุดแนวต้านสำคัญแถว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ ซึ่งมองว่า ภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ หากตลาดพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยงรุนแรง แต่ปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติยังมีลักษณะซื้อ กลับขาย สินทรัพย์ในฝั่งไทยอยู่

ทั้งนี้ ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ยังแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ ใช้ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

อนึ่ง แม้ว่าทิศทางการเคลื่อนไหวของเงินบาทจะอ่อนค่าลงบ้าง แต่เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) จะเห็นได้ว่า เงินบาทกลับปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากเมื่อเทียบกับเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ซึ่งผู้ประกอบการควรใช้จังหวะนี้ในการทยอยป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เพราะมุมมองของตลาดยังคงมองว่า เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) มีโอกาสแข็งค่าขึ้นใกล้ระดับ 118-120 เยนต่อดอลลาร์ในช่วงปลายปี

ซึ่งแม้ว่า เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ โดยรวม เงินเยนญี่ปุ่นเทียบเงินบาทก็อาจจะสูงกว่าระดับปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับผู้ที่วางแผนจะไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็สามารถทยอยแลกเงินได้ และอาจพิจารณาลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เน้นหุ้นขนาดเล็ก-กลาง ที่จะได้รับอานิสงส์จากธีม Reopening & Recovery ได้เช่นกัน