สถานการณ์เงินบาทในสัปดาห์ที่ผ่านมา “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ระบุว่า มีทิศทางอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ โดยเงินบาทอ่อนค่าทดสอบแนว 33.70 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ของตลาดในประเทศ ระหว่างวันที่ 13-15 เม.ย. โดยการอ่อนค่าของเงินบาทสอดคล้องกับทิศทางของค่าเงินเยนและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย

สวนทางเงินดอลลาร์ ที่ปรับแข็งค่าขึ้นตามการปรับขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟดมีท่าทีสนับสนุนความเป็นไปได้ที่จะมีการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในรอบการประชุมใกล้ๆ นี้เพื่อสกัดการทะยานขึ้นของเงินเฟ้อสหรัฐ นอกจากนี้การอ่อนค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับสถานะขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ในวันอังคาร (12 เม.ย.) ปิดตลาดเงินบาทอ่อนค่าทดสอบแนว 33.70 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนจะกลับมาปิดตลาดที่ 33.65 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (8 เม.ย.) ขณะที่ระหว่างวันที่ 11-12 เม.ย.นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยเพียง 347.29 ล้านบาท และมีสถานะเป็น NET OUTFLOW หรือเงินไหลออกสุทธิในตลาดพันธบัตร 6,710.30 ล้านบาท (มาจาก การขายสุทธิพันธบัตร 3,510.30 ล้านบาท และตราสารหนี้หมดอายุ 3,200 ล้านบาท)

สำหรับสัปดาห์ถัดไป (18-22 เม.ย.) ธนาคารกสิกรไทยมองกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 33.50-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขการส่งออกเดือน มี.ค. ของไทย สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย และทิศทางเงินทุนต่างชาติ

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย และดัชนีเบื้องต้นของ PMI เดือน เม.ย. ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน ยอดขายบ้านมือสองเดือน มี.ค. รายงาน Beige Book ของเฟด และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามการกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR เดือน เม.ย. ของธนาคารกลางจีน และข้อมูลเศรษฐกิจจีน อาทิ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 1/65 และตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีกเดือน มี.ค.