หลังจากที่ เมื่อวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ในฐานะผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมชาติไทย แถลงข่าวเรียกร้องให้ บริษัท ไทยลีก จำกัด และสโมสรสมาชิก พิจารณาปรับโปรแกรมบอลภายใน ที่ทับซ้อนกับการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 31 ที่ประเทศเวียดนาม ที่ฟุตบอลชาย เตะระหว่างวันที่ 6-22 พ.ค.65 ก่อนที่วันรุ่งขึ้น 12 เม.ย. บจก.ไทยลีก หารือสโมสร ก่อนได้ข้อสรุปว่า มีการเลื่อน 3 แมตช์เดย์ คือ รีโว่ไทยลีก จากเดิมปิดฤดูกาลวันที่ 7 พ.ค. ปรับมาเป็น วันที่ 4 พ.ค. และ รีโว่ลีกคัพ จากเดิม รอบรองชนะเลิศ กับรอบชิงชนะเลิศ เตะวันที่ 11 พ.ค. กับ 15 พ.ค. เลื่อนเป็น 25 กับ 29 พ.ค. หรือหลังจบซีเกมส์ กระนั้นก็ตาม ช่วงซีเกมส์ ก็ยังมีศึก ช้าง เอฟเอ คัพ (สุพรรณบุรี, นครราชสีมา, บุรีรัมย์, โปลิศ เทโร) รอบรองฯ วันที่ 18 พ.ค. กับ รอบชิงฯ วันที่ 22 พ.ค.

“แชมป์” กรวีร์ ปริศนานันทกุล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจก.ไทยลีก โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความเห็นเรื่องซีเกมส์ว่า

เมื่อไทย(ห)ลีก หลบให้ซีเกมส์ #จากใจคนทำงาน

เหตุผลความจำเป็นต่างๆ ในการขยับโปรแกรมไทยลีกนัดสุดท้ายเพื่อหลบทางให้กับการแข่งขันซีเกมส์ผมได้อธิบายไปครบถ้วนแล้ว
รวมถึงผลกระทบทั้งลีกและการเก็บตัวของทีมชาติไทยชุดใหญ่และชุดอายุ 23 ปี ช่วงปลายเดือน พ.ค.ก่อนจะไปแข่งรายการ “ชิงแชมป์ทวีปเอเชีย” จะกระทบอย่างไร ผมก็ได้อธิบายไปแล้ว เมื่อตัดสินใจแบบนี้ ก็ต้องเดินหน้า…ถูก-ผิด-ชอบ-ไม่ชอบ คงต้องใช้เวลาในการตัดสิน

สิ่งที่ยังไม่ได้พูด (ฝากถึงผู้หลักผู้ใหญ่) และอยากจะชวนแลกเปลี่ยนคือการตั้งเป้าหมายและความสำคัญของ “ซีเกมส์” ผมเข้าใจความคาดหวังของหลายฝ่ายที่มีต่อเหรียญทองของทีมฟุตบอลไทยในซีเกมส์ มันคือเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ และความคาดหวังนั้นเองคือสิ่งที่ต้องแบกอยู่บนบ่าของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และนั่นคือแรงกดดันที่มีต่อผู้จัดการทีมชาติไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความคาดหวังต่อเหรียญทองเหรียญนี้ (ของใครบางคน) ยิ่งใหญ่ราวกับได้ไปแข่งฟุตบอลโลก

ถ้าเป็นสมัยเมื่อ 20 ปีก่อน ผมก็คงจะเห็นด้วย แต่มันไม่ควรจะเอามาเป็นความหวังของฟุตบอลทีมชาติไทยในโลกของฟุตบอลสมัยนี้…
สมัยที่มีฟีฟ่าเดย์ เป็นตัวกำหนดการแข่งขันในระดับสากลของทีมชาติแต่ละประเทศ, สมัยที่การจัดลำดับฟีฟ่าแรงกิ้ง จะถูกคิดคะแนนต่อเมื่อเข้าเกณท์ระดับ FIFA ‘A Match’ เท่านั้น สมัยที่กีฬาฟุตบอลของประเทศกำลังยกระดับและก้าวไปสู่การเป็น ‘กีฬาอาชีพ’ อย่างเต็มตัว แต่เรากลับก้าวข้ามไม่พ้น ‘กับดักความสำเร็จ’ ของตัวเอง เรายังคงมีความสุขกับความสำเร็จเล็กๆ เฉพาะหน้า และตั้งให้มันเป็นเป้าหมายที่แสนยิ่งใหญ่ ถ้าเรายังก้าวไม่พ้นจากเวทีภูมิภาคเราจะไม่มีวันก้าวไปสู่เวทีระดับสากลได้

ซีเกมส์ควรจะเป็นเวทีที่เอาไว้สร้างดาวรุ่งดวงใหม่ สร้างระบบ สร้างประสบการณ์ เสริมกระดูกให้เยาวชนทีมชาติไทยก่อนจะก้าวไปสู่ทีมชาติชุดใหญ่ในอนาคต เราจะภูมิใจกว่าไหม หากดาวรุ่งของเราไปสู้กับทีมชาติ ประเทศอื่นๆ ได้อย่างสมศักดิ์ศรี ?? เราจะได้ประโยชน์มากกว่าไหม หากมีนักเตะหน้าใหม่แจ้งเกิดได้อีก 3-4 คนจากเวทีนี้?? ความสำเร็จของเราอยู่ที่การชูถ้วย คว้าแชมป์ ได้เหรียญทองเท่านั้นนะหรือ?

ถึงเวลาหรือยังที่จะมาร่วมกันออกแบบว่า ‘ความสำเร็จ’ หน้าตามันควรจะเป็นอย่างไร? มาจัดลำดับความสำคัญเสียใหม่เพื่อจะก้าวข้ามระดับภูมิภาค ไปสู่ระดับเอเชียและก้าวไปเวทีระดับโลกกันจริงๆ เสียที

“ความสำเร็จของเราจะไม่มีวันยิ่งใหญ่ขึ้นได้ ถ้าเรายังยึดติดกับความสำเร็จเล็กๆ แบบเดิม”