สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ว่า ชาวศรีลังกาจำนวนมากยังคงออกมารวมตัวกันชุมนุม ในกรุงโคลัมโบ เพื่อขับไล่รัฐบาลของประธานาธิบดีโกตาพญา ราชปักษา ซึ่งกระแสความโกรธแค้นและไม่พอใจของชาวศรีลังกาที่มีต่อผู้นำเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ จากการบริหารนโยบายเศรษฐกิจที่มีปัญหาอย่างหนัก ส่งผลให้ไม่มีทุนสำรองระหว่างประเทศ และเงินคงคลังร่อยหรอ เพียงพอนำเข้าเชื้อเพลิง และสิ่งของจำเป็นเพื่อการอุปโภคและบริโภค

ANI News

ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในศรีลังกาครั้งนี้ นับเป็นครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ราชปักษาชนะการเลือกตั้งและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อปี 2562 และอีกไม่ถึง 1 ปีต่อมา พรรคการเมืองฝ่ายซ้ายของราชปักษา ได้รับชัยชนะมากกว่า 2 ใน 3 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขณะที่ราชปักษาแต่งตั้งพี่ชายของตัวเอง คือ นายมหินทา ราชปักษา อดีตประธานาธิบดี ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และสมาชิกอีก 3 คน ซึ่งเป็นสายตรงของตระกูลราชปักษา ยังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงที่ถือเป็นกระทรวงหลักของศรีลังกา คือ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตร และกระทรวงกีฬา

ANI News
ชาวศรีลังกาชุมนุมหน้าสำนักงานเลขาธิการประธานาธิบดี ในกรุงโคลัมโบ เพื่อขับไล่รัฐบาลของประธานาธิบดีโกตาพญา ราชปักษา


ทั้งนี้ ชาวศรีลังกาจำนวนไม่น้อยคาดหวัง ว่าพี่น้องราชปักษาจะร่วมกันฟื้นฟูเสถียรภาพ เนื่องจากการเลือกตั้งเกิดขึ้น หลังเหตุก่อการร้าย ในวันอีสเตอร์ เมื่อปี 2562 ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 250 ราย อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายมองว่า ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ พี่น้องราชปักษายิ่งตัดสินใจผิดพลาดในเรื่องที่สำคัญ และชัดเจนที่ตอนนี้ คือวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเลวร้ายจนถึงขั้นต้องดับไฟวันละ 13 ชั่วโมง เพื่อประหยัดเชื้อเพลิง ขณะที่รัฐบาลวิ่งวุ่นของเจรจากับบรรดาเจ้าหนี้

ผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลศรีลังกาซึ่งรวมถึงพระสงฆ์ ยืนหันหลังปะทะกับการฉีดน้ำแรงดันสูงของเจ้าหน้าที่


นอกจากนี้ ภาพที่ปรากฏออกมาว่า บ้านพักของผู้นำศรีลังกาแลบรรดาสมาชิกในตระกูลราชปักษายังคงมีไฟฟ้าใช้ตลอด 24 ชั่วโมง และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจให้แก่ประชาชน ซึ่งรู้สึกมากขึ้นถึงความเหลื่อมล้ำ การประท้วงตอนนี้จึงไม่ใช่การเรียกร้องเพียงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังรวมถึงการที่ตระกูลราชปักษา “ต้องไปให้พ้นจากเส้นทางการเมือง” ของศรีลังกาด้วย.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES, REUTERS