เมื่อวันที่ 26 ก.ค. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านเพจเฟซบุ๊ก The Room 44 เนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 72 ปี โดยตอนหนึ่งนายทักษิณ ได้เริ่มเล่าถึงวิธีการปฏิบัติตัวหลังจากติดเชื้อโควิด-19 ว่า ช่วงนั้นรู้สึกว่าตนโทรมมาก น้ำหนักหายไป 9 กิโลกรัม กว่าจะฟื้นกลับมาได้ จึงทราบว่ามันเหนื่อยขนาดไหน ขณะที่ออกซิเจนในร่างกายต่ำ ยืนยันว่า ตอนนี้ปอดยังดีอยู่ พร้อมกล่าวติดตลกว่า เหลืออย่างเดียว คือ ปอดแหก ส่วนการดูแลสุขภาพและรักษาร่างกายตัวเองนั้น นอนต้องมาอันดับหนึ่ง เพราะเซลล์ร่ายกายจะซ่อมแซมตัววเอง ฉะนั้นนอนให้พอ ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารให้ถูกต้อง รวมทั้วต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดี ปล่อยวางปัญหาทั้งหมด ปัญหามีให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้แบก จึงต้องรู้จักแยกแยะให้ได้

นายทักษิณ กล่าวว่า การใช้ชีวิตในต่างประเทศ เราไม่รู้ว่าโชคชะตาชีวิตตัวเองจะเป็นอย่างไร เชื่อว่าทุกคนเมื่อเกิดมาย่อมมีผังชีวิตที่กำหนดชีวิตต้องเจออะไร สรุปแล้วเราบอกตัวเองไม่ได้แต่เราต้องทำให้ที่สุดและยอมรับกับมัน ยอมรับว่าปีแรกที่ถูกปฏิวัติมาอยู่เมืองนอก ตนรู้สึกโกรธ ว่า เราทำความดีขนาดนี้ โดนขนาดนี้เลยหรือ แต่ผลสุดท้ายต้องคิดได้ว่าชีวิตต้องเดินต่อไปเพื่ออยู่กับปัจจุบันอนาคต อดีตคือบทเรียน อย่าไปจม และอย่าถูกจองจำด้วยอดีต หลังจากนั้น 1 ปี นั่งถามกับตัวเองว่า เมื่อก่อนสมัยเรียนในต่างประเทศลำบากกว่านี้ยังอยู่ได้ แต่ตอนนี้มีเงิน มีเพื่อนเยอะ และมีบ้านหลายหลังในหลายประเทศทำไมจะอยู่ไม่ได้ จึงตั้งคำถามว่าบ้านอยู่ที่เมืองไทยเท่านั้นหรือ เราต้องคิดว่าโลกทั้งโลกคือบ้านของเรา จึงเริ่มต้นคิดว่าจะเสียเวลาทำไมเราต้องมีอนาคตและค่าใช้จ่ายในเมืองนอก จากนั้นได้เริ่มหาลู่ทางทำมาหากิน แต่ตอนนี้มีความสุขดีที่มีลูกหลานมาเยี่ยม แต่อดทุกข์ไม่ได้เมื่อมองกลับในประเทศไทย เพราะคนเคยเป็นนายกฯ มาก่อน คนเคยห่วงใยบ้านเมืองและทำงานให้ประชาชน ก็ไม่รู้จะให้อะไรนอกจากให้ความรู้ประสบการณ์ แต่แล้วแต่ผู้นำว่าจะทำเป็นหรือไม่เป็น

เมื่อถามว่า ที่โดนกระทำแบบนี้เคยรู้สึกเครียดแค้นใครหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำให้โง่ ทำให้เราคิดไม่ออก เพราะมีสิ่งที่แรกซ้อนด้วยอารมณ์ ดังนั้นต้องปล่อยวางอารมณ์ให้ได้ และคิดอย่างมีสติอย่างมีปัญญา ซึ่งการจะทำอะไรต้องมีสติ คนเราอย่าไปหวังว่าจะเติมเต็มทุกอย่างให้ชีวิต เพราะชีวิตไม่มีคำว่าสมบูรณ์

เมื่อถามต่อว่า เคยทบทวนเรื่องที่ทำไปแล้วรู้สึกเสียใจไม่น่าทำลงไป หรือเรื่องทำไปแล้วรู้ว่ามันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มีใครถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ และไม่มีใครผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ที่สำคัญคือหัวใจบริสุทธิ์ ตั้งใจจริง ทุ่มเท และรู้จักหน้าที่ตัวเองทำอยู่ ไม่ใช่ทำหน้าที่โดยไม่ฟังใคร อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดที่สุดและต้องทำถูกที่สุดมันไม่ใช่ บางครั้ง เราต้องมีผิดพลาดและกลับมาทบทวน ยกตัวอย่างเช่น เรื่องปัญหาภาคใต้ ยอมรับว่าใจร้อนไป เอาทหารไปใช้เร็วไป ความจริงแล้วต้องใช้การเมืองนำและอดทนมากกว่านั้น หลังจากนั้นพยายามแก้ไข โดยเข้าไปคุยกับหัวหน้าการก่อทั้งหลายที่หนีไปมาเลเซียและอินโดนีเซียว่าจะหันมาพูดคุยกันได้อย่างไร ตอนนั้นแอบทำและส่งข้อมูลให้อดีตนายกฯ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในขณะนั้น แต่ถูกทหารไม่แฮปปี้ที่ให้ทำ ส่วนที่ที่รู้สึกภูมิใจมากคือเรื่องทำให้ชาวบ้านหลายเรื่องทั้งโครงการ 30 รักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน ใช้หนี้ให้ประเทศ และเอาศักดิ์ประเทศคืนมาหลังถูกดูถูกดูแคลนที่เข้าไอเอ็มเอฟ

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ขณะนี้อายุมากแล้ว รู้สึกว่าอารมณ์นิ่งขึ้นและมีสติกับตัวเอง ยืนยันว่า ไม่ได้รู้สึกแค้นอะไรในใจทางการเมือง เพราะตนเป็นคนใจกว้างและสร้างสรรค์ ไม่ชอบทำลายคน ไม่มองมองโลกแง่ร้าย เพราะเป็นคนคิดบวกตลอด ไม่เคียดแค้นใคร ให้อภัยตลอดเวลา แต่จำทุกเรื่องเพราะความจำดีมาก เล่าความสัมพันธ์ของคนรอบตัวได้หมด ถ้าถามว่าจำใครได้มากที่สุด ตอนนี้จำได้เยอะ 3 ป.นี่จำได้แม่น เพราะมีความเกี่ยวพันกันหมด

เมื่อถามว่า วิกฤติต่างๆ ที่เกิดขึ้นมักเริ่มต้นคนใกล้ชิดคุ้นเคยทั้งนั้น นายทักษิณ กล่าวว่า เป็นเพราะเมืองไทยไม่กว้างใหญ่ สังคมมันแคบข้างบนรู้จักกันหมด ทุกคนมีแนวทางชีวิตของตัวเอง มีความอยากสร้างตัวเองขึ้นมาหลายรูปแบบ บางคนมีจริยธรรมบางคนก็ไม่มีจริยธรรม ซึ่งตนเข้าใจเป็นอย่างดีกับคำว่า ไม่มีมิตรแท้และและศัตรูถาวรในหมู่การกระเสือกกระสนเข้าสู่อำนาจ

เมื่อถามอีกว่า พี่โทรู้สึกนี่ไปได้หมดทั่วโลก แต่มาประเทศไทยไม่ได้ประเทศเดียว นายทักษิณ กล่าวว่า รู้สึกเฉยๆ แต่ยังไงก็กลับ เพราะยังรักพี่น้องชาวไทยที่ห่วงใยและกังวล ผมยังห่วงใยประเทศไทย อยากกราบคนที่ตนรักและเคารพเสมอ และกราบแผ่นดินเกิด ที่สำคัญที่สุดคือการเลี้ยงหลาน ถ้าแข็งแรงอาจจะเลี้ยงเหลนด้วย

“ผมเป็นคนเดินทางเยอะพบผู้คนหลายระดับ ได้เห็นความสำเร็จและล้มเหลวทางการเมืองแต่ละประเทศพอสมควร เมื่อมองย้อนกับไปประเทศไทยต้องยอมรับว่าภาพรวมเราล้าหลังมาก ทั้งที่ควรไปไกลกว่านี้ เราตามไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี แต่บ้านเรายังคิดแบบองค์รวมไม่เป็น คิดแบบโบราณ คิดแบบทหาร วันนี้ทหารขอให้เป็นคนสุดท้ายที่จะบริหารประเทศ ต้องยอมรับว่าพวกคุณล้าหลังที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำตรงนี้” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ ยังกล่าวถึงการระบบสาธารณสุขพื้นฐานในประเทศปัญหาว่า เดิมทีระบบตรงนี้ดีมาก แต่การบริหารคนป่วยโควิด-19 แย่มาก วันนี้ยังงงว่าทหารไปไหนมาก เมื่อก่อนตนเป็นนายกฯ พลเรือนที่ใช้ทหาร แต่วันนี้ทหารไปกล้าใช้ทหาร ซึ่งทหารมีอุปกรณ์มีงบประมาณเยอะแยะ ทำไมเพิ่งจะเอามาใช้ และนำมาใช้ก็ยังมาเต็มที่ ถ้าเป็นตนจะใช้ให้เต็มที่ไม่ยอมหรอก วันนี้เป็นวันที่ทรัพยากรเราขาดแต่เรามีทรัพยากรที่คล้ายกันและออกมาใช้ได้อยู่ในหลายหน่วยงาน

“วันนี้นายกฯ ถ้าเป็นผมนะ เงินเดือน 3 เดือนไม่ใช่เอาไปซื้อชุด PPE ใส่ลงไปสนามดูคนป่วยเลย ไปเยี่ยมเลย รับรองตื่นวิ่งกัน รับรองงานการจะไปได้ไกล วันนี้ท่านเป็นนายกฯ ที่ Work For Home ได้อย่างไร สังเกตได้เลยว่าผมไม่เคยกลัวอะไร ยามมีไข้หวัดนกก็กินไก่ให้ดู การท่องเที่ยวตกผมบุกไปสนามบินไม่ใส่หน้ากาก ตอนนี้เหตุกรณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมบุกนอนโดยไม่ให้รู้ตัว สมัยก่อน ผบ.แดง ยังเป็นพันโท ผมบุกค่ายเขานะ ยังไปกินไข่ต้มกับเขาเลย วันนี้อย่าไปกลัวอะไรทั้งสิ้น วันนี้มีหน้าที่ทำงานทำไป ตายคาตำแหน่งนายกฯ เพราะทำงานโลกสรรเสริญ แต่ทำงานเพราะเขาไล่ไม่ไปแย่หน่อย” นายทักษิณ กล่าว

ในช่วงท้าย นายทักษิณ กล่าวว่า ส่วนตนจะมีโอกาสกลับบ้านหรือไม่นั้น ต้องจับยามสามตาดูว่าที่เมืองไทยปลอดภัยหรือไม่ เขาจะล่อเราหรือเปล่า รันเวย์เคลียร์หรือยัง ตามถามนายทักษิณก่อน แล้วพี่โทนี่จะมาบอกอีกที ย้ำว่าตนคิดถึงประเทศไทยคิดถึงคนไทย ครอบครัว และเพื่อนฝูง พร้อมขอบคุณที่รัก ห่วงใย และสวดมนต์ทำบุญให้ ส่วนคนที่ไม่รักก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องรักตนก็ได้ แต่ขอให้รักบ้านเมือง รักสังคม และเพื่อนมนุษย์คนไทยด้วยกัน อย่าไปคิดว่า ใครนั้นพวกผมไม่ใช่พวกผม ถ้าคิดแบบนั้นประเทศไม่เจริญ คิดว่าเราจะรวมกันเพื่อให้ความแข็งแรง ประเทศเป็นอย่างไรเป็นเรื่องที่สำคัญ ตนไม่ต้องการเรียกร้องความรักจากใคร แต่เรียกร้องความเข้าใจแลฃะความห่วงใยในอนาคตของลูกหลานดีกว่า