เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ที่โรงแรมเดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ำ กรุงเทพฯ นายชาตรี วัฒนเขจร รองปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานเปิดการประชุมสัมมนาสรุปผลการศึกษา โครงการงานจ้างที่ปรึกษา เพื่อศึกษาและวิเคราะห์โครงการรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบา (Light Rail Transit : LRT) สายบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยที่ประชุมได้เสนอสรุปผลการศึกษาข้อมูลโครงการด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์การเงินการลงทุน และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนรูปแบบความเหมาะสมด้านการลงทุนโครงการ พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อนำไปประกอบการศึกษา และจัดทำโครงการให้มีความเหมาะสม ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาจำนวนมาก ทั้งแบบอินไซต์ และออนไซต์

นายสาธิต มาลัยธรรม ที่ปรึกษาโครงการฯ กล่าวว่า จากการทบทวนผลการศึกษาเดิมเมื่อปี 56 พบว่า แนวเส้นทาง รูปแบบรถไฟฟ้า และความเร็วที่ใช้บริการ 80 กิโลเมตร (กม.) ต่อชั่วโมง (ชม.) มีความเหมาะสม หลังจากนี้จะรวบรวมข้อมูลต่างๆ ให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ก่อนส่งรายงานสรุปผลการศึกษาฯ และรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) เสนอกระทรวงมหาดไทย (มท.) พิจารณา เบื้องต้นคาดว่าจะเป็นรูปแบบ PPP Net Cost รัฐจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน เอกชนก่อสร้างงานโยธา และงานระบบ พร้อมทั้งดำเนินการและบำรุงรักษา (O&M) โดยรัฐให้สิทธิแก่เอกชนเป็นผู้รับรายได้ และเอกชนจ่ายค่าสัมปทาน หรือส่วนแบ่งของรายได้แก่รัฐ หากเห็นชอบจะเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติโครงการฯ ได้ประมาณต้นปี 66

นายสาธิต กล่าวต่อว่า หาก ครม. เห็นชอบจะเข้าสู่ขั้นตอนการจัดทำเอกสารร่วมลงทุน และเปิดคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนในปี 67 โดยจะได้ผู้ลงทุน ลงนามสัญญา และเริ่มก่อสร้างประมาณปี 68 ซึ่งจะใช้เวลาก่อสร้าง และทดสอบระบบ ประมาณ 4 ปี (ปี 68-71) เปิดให้บริการในระยะ (เฟส) ที่ 1 ได้ในปี 72 อย่างไรก็ตามทาง กทม. ได้กำหนดให้รถไฟฟ้า LRT สายบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีชื่อเรียกว่า รถไฟฟ้าสายสีเงิน โดยโครงการนี้มีระยะทาง 19.7 กิโลเมตร (กม.) มี 14 สถานี แบ่งการดำเนินงานเป็น 2 เฟส ได้แก่ เฟสที่ 1 จากแยกบางนา-ธนาซิตี้ 12 สถานี ระยะทาง 14.6 กม. และเฟสที่ 2 ธนาซิตี้-สุวรรณภูมิใต้ 2 สถานี ระยะทาง 5.1 กม.

ด้านวรวัสส์ วัสสานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์การร่วมทุนภาครัฐ และเอกชน กล่าวว่า ผลการศึกษาโครงการฯ มีความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากดัชนีชี้วัดทางเศรษฐศาสตร์มีค่าสูงกว่าเกณฑ์ในทุกกรณี โดยมีอัตราผลตอบแทนของโครงการด้านเศรษฐศาสตร์ (EIRR) อยู่ที่ 15.45% สำหรับค่าลงทุนโครงการรวม 1.35 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ค่างานที่เกี่ยวข้องกับการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน 1,181 ล้านบาท, ค่างานโยธาและงานระบบรถไฟฟ้า 36,020 ล้านบาท, ค่างานจัดซื้อขบวนรถไฟฟ้า 6,720 ล้านบาท และค่าดำเนินงานและบำรุงรักษา (O&M) 91,767 ล้านบาท โดยสัมปทานโครงการอยู่ที่ 30 ปี

นายวรวัสส์ กล่าวต่อว่า รถไฟฟ้ารางเบา มีขนาดราง 1.435 เมตร มีระบบควบคุมการเดินรถอัตโนมัติ ความเร็วสูงสุด 80 กม.ต่อชม. ใช้เวลาเดินทางไป-กลับ 1 ชั่วโมง รองรับผู้โดยสาร 15,000-30,000 คน/ชม. คาดว่าปีเปิดให้บริการปี 72 จะมีผู้โดยสารมาใช้บริการ 82,695 คน-เที่ยว/วัน และปี 76 จะเพิ่มสูงขึ้นราว 138,744 คน-เที่ยว/วัน และในปี 78 กรณีบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดให้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้านทิศใต้ จะมีผู้โดยสารใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 165,363 คน-เที่ยว/วัน ส่วนอัตราค่าโดยสาร กำหนดให้ค่าโดยสารในปีเปิดให้บริการปี 72 มีอัตราค่าแรกเข้า 14.4 บาท และเพิ่มขึ้นตามระยะทาง 2.6 บาทต่อ กม. โดยมีเพดานค่าโดยสารสูงสุด 45.6 บาท