เมื่อวันที่ 8 เม.ย. พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม.และอดีต รมช.สาธารณสุข นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ผู้อำนวยการเลือกตั้ง ส.ก. นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ส.ก. นายดนุพร ปุณณกันต์ เลขานุการการเลือกตั้ง ส.ก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส. และนายเอกชัย ผ่องจิตร์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตบางแค เบอร์ 2 พร้อมผู้สมัคร ส.ก. เขตต่างๆ ร่วมกันลงพื้นที่เขตบางแคและร่วมล้อมวงคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพี่น้องประชาชนถึงแนวนโยบายในการ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ อย่างถ้วนหน้าของพรรค พท. โดยประชาชนสนใจร่วมพูดคุยสะท้อนปัญหาในชุมชน ทั้งในเรื่องของปัญหาการประกอบอาชีพ เศรษฐกิจปากท้องคุณภาพชีวิตและการจราจร นอกจากนี้ยังได้พบปะพูดคุยกับตัวแทนประชาชนกลุ่มรัฐวิสาหกิจชุมชนสุขสำราญ ซึ่งทำขนมงาพองที่เดียวในกรุงเทพฯ และส่งไปขายทั่วประเทศ พร้อมลงพื้นที่ตรวจสอบประตูระบายน้ำคลองบางแค ​​เพื่อพูดคุยกันถึงนโยบายการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพฯ 

นางพวงเพ็ชร กล่าวว่าผู้สมัคร ส.ก. ของพรรค พท. ได้รับการคัดสรรมาตามระบบเพื่อให้ได้คนที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งทุกคนทุ่มเทดูแลพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 จึงเชื่อว่าพี่น้องชาวกรุงเทพฯ จะยอมรับและสนับสนุน อีกทั้งพรรคเพื่อไทย มีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอนโยบายในการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ตามแนวทางลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ อย่างถ้วนหน้า และพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่มีความชัดเจนในการผลักดันนโยบายจนสำเร็จมาโดยตลอด 

ส่วนนพ.พรหมินทร์ กล่าวว่าผู้สมัคร ส.ก.ของพรรค พท. จะเป็นตัวแทนในการนำเสนอนโยบายและดูแลเงินงบประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปีของประชาชน ในการดูแลชีวิตและความเป็นอยู่ของคนกรุงเทพฯ ที่ต้องทนทุกข์มาตั้งแต่หลังรัฐประหาร 22 พ.ค.57 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะต้องเลือกตัวแทนของคนกรุงเทพฯ ทั้งผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก. ซึ่งจะมีนโยบายที่มีคำตอบในการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องคนกรุงเทพฯ ซึ่งพรรค พท. ในอดีตเคยเป็นรัฐบาลและนำเสนอนโยบายที่ประสบความสำเร็จ คือ กองทุนหมู่บ้านซึ่งต่อมายกระดับเป็นกองทุนพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนเมือง (เอสเอ็มแอล) ที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยกินได้ จึงได้นำสิ่งดีๆ เหล่านี้มายกระดับและนำเสนอเป็นนโยบายกองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาทต่อปี ที่มีหลักคิดและหลักการเดียวกัน คือ จัดสรรงบประมาณให้ชุมชนต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปีละ 200,000 บาทต่อปี เพื่อกระจายอำนาจให้พี่น้องประชาชนแต่ละชุมชนได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง นอกจากนี้พรรค พท. ยังมีนโยบายที่มุ่งในการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ ทั้งระบบเป็นรูปธรรม    

ขณะที่ นายดนุพร กล่าวว่า พรรค พท. ไม่เคยหมดหวัง แม้จะโดนรัฐประหารมา 2 ครั้งก็ยังมุ่งมั่นทำงานให้ประชาชนและครั้งนี้เรามุ่งมั่นที่จะคืนความมั่งคั่งให้ประชาชน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่พี่น้องต้องเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดและวิกฤติเศรษฐกิจ จึงนำมาซึ่งนโยบายที่จะฟื้นเศรษฐกิจปากท้องทั้ง 5 นโยบายหลัก ประกอบด้วย กองทุนพัฒนาชุมชน 200,000 บาทต่อปี, 50 เขต 50 โรงพยาบาล, 30 บาทถึงที่หมาย, 437 สถานศึกษาพัฒนาสร้างรายได้ และ 50 เขต 50 ซอฟต์เพาเวอร์ ที่จะมาแก้ไขปัญหาให้พี่น้องคนกรุงเทพฯ ภายใต้หลักคิดลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ กระจายความมั่งคั่งให้แก่คนกรุงเทพฯ อย่างถ้วนหน้า

ส่วนนายเอกชัย ผ่องจิตร์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตบางแค เบอร์ 2 กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบว่าพี่น้องประชาชนยังต้องเผชิญปัญหาหลายอย่างจากการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของภาครัฐ ทำให้ละเลยการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน ซึ่งพรรค พท. และผู้สมัคร ส.ก. ทุกคน มุ่งมั่นที่จะทำลายอุปสรรคปัญหาเหล่านี้เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ในส่วนของนายณพลเดช มณีลังกา ผู้สมัคร ส.ก. เขตสัมพันธวงศ์ พรรค พท. เปิดเผยว่ามีป้ายที่อาจมีผู้ไม่หวังดีมากรีดป้าย ทำให้ป้ายหาเสียงไวนิลของตนเสียหาย เป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ หากนำไปทิ้งคงเป็นแต่เพียงขยะที่เพิ่มมลพิษให้กับ กทม. ดังนั้นตนจึงหารือกับทีมงานว่าจะทำอย่างไรกับป้ายหาเสียงที่เสียหาย โดยทีมงานแจ้งว่า มีไอเดียจากนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่มีการนำไวนิลเก่ามาทำกระเป๋าหาเสียง ตนจึงให้ทีมงานลองให้ช่างเย็บผ้าในเขตสัมพันธวงศ์ ทำเป็นกระเป๋าเพื่อนำมาหาเสียงดูบ้าง ซึ่งผลกลับเป็นกระเป๋าที่ดีและงดงามเลยทีเดียว สามารถนำมาใส่ของได้รวมทั้งนำไปหาเสียงต่อได้ เป็นการประหยัดงบประมาณเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไปอีกทาง

“การเลือกตั้ง ส.ก. รวมถึงผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ มีการสร้างสรรค์ดีขึ้น เช่นการปรับเปลี่ยนป้ายให้เล็กขนาดเท่าเสาไฟฟ้า ทำให้เกิดการตื่นตัวให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยต่อประชาชนอีกทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย” นายณพลเดช กล่าว.