เมื่อวันที่ 26 ก.ค. รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สถานการณ์ทั่วโลก 26 กรกฎาคม 2564
ในที่สุด…ไทยก็มียอดติดเชื้อเพิ่มเมื่อวานเป็นอันดับที่ 9 ของโลก 15,335 คน ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ เพราะมาตรการเฉพาะพื้นที่ที่ดำเนินการมานั้นยังไงก็ไม่เพียงพอต่อการตัดวงจรการระบาดที่กระจายไปทั่วได้ หากรวมยอดใหม่ที่จะรายงานวันนี้ก็จะทะลุ 500,000 คน
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 415,297 คน รวมแล้วตอนนี้ 194,789,426 คน ตายเพิ่มอีก 6,469 คน ยอดตายรวม 4,174,477 คน
5 อันดับแรกที่มีจำนวนติดเชื้อต่อวันสูงสุดคือ อินโดนีเซีย อินเดีย สหราชอาณาจักร อิหร่าน และรัสเซีย
อเมริกา เมื่อวานติดเชื้อเพิ่ม 13,427 คน รวม 35,199,074 คน ตายเพิ่ม 49 คน ยอดเสียชีวิตรวม 626,762 คน อัตราตาย 1.8%
อินเดีย ติดเพิ่ม 38,153 คน รวม 31,409,639 คน ตายเพิ่ม 411 คน ยอดเสียชีวิตรวม 420,996 คน อัตราตาย 1.3%
บราซิล ติดเพิ่ม 18,129 คน รวม 19,688,663 คน ตายเพิ่ม 424 คน ยอดเสียชีวิตรวม 549,924 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 24,072 คน รวม 6,126,541 คน ตายเพิ่ม 779 คน ยอดเสียชีวิตรวม 153,874 คน อัตราตาย 2.5%
ฝรั่งเศส ติดเพิ่ม 15,242 คน ยอดรวม 5,993,937 คน ตายเพิ่ม 6 คน ยอดเสียชีวิตรวม 111,622 คน อัตราตาย 1.9%
อันดับ 6-10 เป็น สหราชอาณาจักร ตุรกี อาร์เจนตินา โคลอมเบีย และอิตาลี ติดกันหลักพันถึงหลายหมื่น
แถบอเมริกาใต้ ยุโรป แอฟริกา เอเชีย หลายต่อหลายประเทศติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอเชีย และยุโรปที่ทวีความรุนแรงขึ้นชัดเจน เพราะหากดูจากตัวเลขเช้านี้ ยอดติดเชื้อต่อวันจากสองทวีปนี้รวมกันแล้วเป็น 74% ของจำนวนติดเชื้อทั่วโลก
ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เมียนมา มาเลเซีย เวียดนาม ล้วนติดหลักพันอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้มาเลเซียนั้นมีการระบาดรุนแรงกว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมาถึง 3 เท่า ล่าสุดติดไป 17,035 คน
แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหลักร้อยถึงหลักพัน
แถบตะวันออกกลางส่วนใหญ่ยังติดเพิ่มหลักร้อยถึงหลักพัน ยกเว้นอิหร่านติดเพิ่มหลักหมื่น
กัมพูชา ลาว สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ติดเพิ่มหลักร้อย ส่วนจีน และไต้หวัน ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่ฮ่องกง และนิวซีแลนด์ ติดน้อยกว่าสิบ
…สถานการณ์ของไทยตอนนี้ มีจำนวนติดเชื้อใหม่สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก มีจำนวนติดเชื้อสะสมพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ล่าสุดอันดับ 47 และคาดว่าอีก 2 วันจะแซงซาอุดีอาระเบียได้ มีผู้ป่วยรุนแรงและวิกฤติมากเป็นอันดับที่ 8 และมีคนเสียชีวิตไปกว่า 4,000 คน จำนวนเสียชีวิตต่อวันตอนนี้สูงเป็นอันดับที่ 13 ของโลก
…หากดูข้อมูลการติดเชื้อรายวัน จะพบว่าสัดส่วนการติดเชื้อใหม่นั้นอยู่ในต่างจังหวัด 59% และ กทม.กับปริมณฑล 41% ตัวเลขนี้มีความสำคัญมากในยามที่ “จำนวนติดเชื้อใหม่” สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เพราะหมายถึงสิ่งที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้คือ ระบบสาธารณสุขในต่างจังหวัดจะต้องรับมือเคสจำนวนมาก รวมถึงเคสที่รุนแรงและวิกฤติที่จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยต้องการทรัพยากรที่จำเป็นทั้งคน เงิน อุปกรณ์ป้องกัน อุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับการรักษาผู้ป่วยหนัก และสถานที่
หากโครงสร้างพื้นฐานในต่างจังหวัดมีไม่เพียงพอ จะเกิดปัญหาหนักตามมา ทั้งติดเชื้อในโรงพยาบาล และจำนวนการเสียชีวิตที่จะสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ณ จุดนี้ เรื่องสำคัญที่สุดคือ สถานพยาบาลจำเป็นต้องมีนโยบายเพื่อดูแลป้องกันบุคลากรในทุกระดับอย่างเต็มที่ ต้องรู้ลิมิตที่จะรับและจัดการได้ ทำทุกทางอย่าให้เกิดการติดเชื้อภายในสถานพยาบาลทั้งจากการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันของบุคลากร เพราะจะเกิดผลกระทบมากมายตามมา ทั้งต่อตัวบุคลากรเอง ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน ผู้ป่วย และประชาชน
หากจัดระบบบริการใดขึ้นมา ขอให้เน้นสวัสดิภาพและความปลอดภัยเป็นหลัก วิเคราะห์ช่องโหว่และความเสี่ยงให้ดี มิฉะนั้นต่อให้เรามีบุคลากรมากเท่าใด ก็จะไม่เพียงพอกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น ถ้าป้องกันตัวได้ดี ก็จะมีกำลังช่วยประชาชนได้มากในระยะยาว
ประเมินสถานการณ์แล้ว จำเป็นต้องพึ่งพาความร่วมมือระดับชุมชนมาร่วมกันจัดการปัญหาการระบาดนี้ ทั้งเรื่องการป้องกันควบคุมโรค รวมถึงการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อ เพราะระบบสาธารณสุขไม่มีทางรับมือได้โดยลำพัง.