น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา เห็นชอบขยายระยะเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ จากเดิมที่สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.64 ให้ขยายออกไปเป็นตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.65 ไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค.67 โดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้ 25% ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพจากผู้ผลิตตามประเภทที่อธิบดีประกาศกำหนดและได้รับการรับรองผลิตภัณฑ์จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เพื่อให้การส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเห็นผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้มาตรการทางภาษีนี้จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ในปี 65-67 ปีละ 673 ล้านบาทหรือกว่า 2,000 ล้านบาท แต่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการหันมาใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่ย่อยสลายไม่ได้และลดงบประมาณภาครัฐในการกำจัดขยะพลาสติกตกค้าง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ไทยสามารถบรรลุเป้าในการเป็นศูนย์กลางในเรื่องนี้ หรือไบโอฮับของอาเซียน
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวว่า มาตรการภาษีนี้เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการลดปริมาณการใช้พลาสติกที่ย่อยสลายได้ยาก คาดว่าผู้ประกอบการจะเปลี่ยนมาใช้เม็ดพลาสติกชีวภาพเพื่อการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ 10% ต่อปี หรือ 68,978 ตัน ของปริมาณบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีการผลิตอยู่ในปัจจุบัน 689,785 ตัน ส่งเสริมให้บรรลุเป้าหมายในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นไบโอฮับของอาเซียน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากร ได้ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนผู้ประกอบการเปลี่ยนมาใช้เม็ดพลาสติกชีวภาพ เพื่อการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ลดปริมาณการใช้พลาสติกที่จะกลายเป็นขยะตกค้างที่ย่อยสลายได้ยากอย่างต่อเนื่อง จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. การขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป