เมื่อวันที่ 2 เม.ย. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 8 พร้อมด้วยทีมงานลงพื้นที่ตลาดประชานิเวศน์ นายชัชชาติ กล่าวว่าตลาดประชานิเวศน์ เป็นตลาดของ กทม.พื้นที่ทั้งหมด 15 ไร่ กทม.มีโครงการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งใช้งบประมาณกว่า 800 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้ทำ ขณะที่ผู้ค้าที่มาค้าขายในตลาดประชานิเวศน์ ก็มาจากหลากหลายพื้นที่ รวมถึงประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของดังนั้นตลาด จึงเป็นแหล่งรวมทั้งโอกาส และปัญหาต่างๆ จากการลงพื้นที่วันนี้ได้มาพูดคุยกับผู้ค้า ซึ่งสะท้อนปัญหาด้านเศรษฐกิจว่าคนซื้อขายลดลง นอกจากนี้ พื้นที่บริเวณตลาดประชานิเวศน์ มักประสบปัญหาน้ำท่วมขังต่อเนื่องพื้นที่วัดเสมียนนารี

ขณะที่การเดินทางใกล้กับบริเวณนี้มีขนส่งที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ คือ รถไฟฟ้าสายสีแดง ซึ่งต้องดูว่าจะทำระบบเชื่อมต่ออย่างไร เช่น รถเมล์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายสีแดง เชื่อมต่อเดินทางเข้าเมืองได้อย่างสะดวก รวมถึงจะพัฒนาพื้นที่บริเวณตลาดประชานิเวศน์อย่างไร ให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด

ตลาดถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ประชาชนมีค่าครองชีพที่ถูกลง ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายลดรายจ่าย หากเราสามารถทำให้ผู้ค้ามีที่ค้าขายในราคาไม่แพง เชื่อประประชาชนจะมาจับจ่ายซื้อขายได้ดีขึ้น กทม.ไม่ได้มีหน้าที่แค่ลอกท่อ กวาดขยะ เศรษฐกิจก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะทำอย่างไรในช่วงที่ประชาชนในยากที่ลำบาก พื้นที่ตลาดประชานิเวศน์มีหมู่บ้านหลายหมู่บ้าน จะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรให้คนมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น นอกจากนี้บริเวณตลาดประชานิเวศน์ ยังมีสถานธนานุบาล หรือโรงรับจำนำของ กทม. ซึ่งจะเป็นที่พึ่งของคนที่มีปัญหาเรื่องเงิน ต้องการเงินนำไปใช้ก่อนโดยนำของมาจำนำ กทม. ต้องดูแลให้เหมาะสมอย่าเอากำไรมาก เพื่อให้เป็นที่พึ่งของประชาชนในยามยากลำบาก

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญที่ กทม. ต้องมีบทบาทช่วยเหลือประชาชนในยามยากลำบาก ปัจจุบัน กทม. มีตลาดในการดูแลทั้งสิ้น 13 แห่ง รวมจำนวนแผงค้ากระจายในเขตต่างๆ กว่า 20,000 แผงค้า ดังนั้น กทม. สามารถพัฒนาตลาดให้เป็นพื้นที่สร้างโอกาสทางการค้าให้คนกรุงเทพฯ ได้ เช่น ขยายเวลาเปิด-ปิดตลาด เปิดแผงค้าเพิ่มเติม ประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จัก ตลอดจนพัฒนาแอพพลิเคชั่นส่งสินค้าถึงบ้านเพื่อลดภาระค่าเดินทางของผู้บริโภค นอกจากนี้ กทม. ยังสามารถลดค่าเช่าแผงค้าจนกว่าสภาพเศรษฐกิจจะฟื้นตัว เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ค้า ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าถูกลง เป็นการลดค่าครองชีพของประชาชนต่อไป

เมื่อถามว่า การรวมทีมลงพื้นที่รับฟังปัญหาประชาชนในหลายพื้นที่ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ถือเป็นข้อได้เปรียบผู้สมัครคนอื่นๆ หรือไม่ นายชัชชาติ กล่าวว่าจริงๆ มีทั้งข้อได้เปรียบและเสียเปรียบ เราไม่มีพรรค ไม่มีหัวคะแนนในพื้นที่ คนที่มาด้วยถือเป็นอาสาสมัคร เป็นมือใหม่ และไม่เคยเดินหาเสียงเลย จุดแข็งคือเราเดินมานาน จุดอ่อนคือเราไม่มีฐานเสียงในพื้นที่ ก็ต้องลุยกันต่อ สำหรับวันนี้อากาศดี ประชาชนเดินทักทาย บรรยากาศเป็นมิตร ให้กำลังใจกัน กระแสตอบรับดี หลายคนบอกไม่เคยเจอตัวจริง ก็รู้สึกอบอุ่น และมีกำลังใจมากขึ้น ทั้งนี้ ถ้าเจอกันก็สามารถทักทายกันได้ มีปัญหามาแบ่งปันกัน จะได้ช่วยหาคำตอบให้กับคนกรุงเทพฯ

จากการลงพื้นที่รับฟังปัญหาประชาชนในหลายพื้นที่ จึงเป็นที่มาของ 200 นโยบาย สามารถขับเคลื่อนได้ตั้งแต่วันแรกหากได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. ขณะที่ กทม.มีลูกจ้าง ข้าราชการ บุคลากรกว่า 80,000 คน หน่วยงาน 16 สำนัก 50 สำนักงานเขต หากเรามีแผนที่ชัดเจน เข้าใจปัญหาชีวิตจะเปลี่ยนไปเลย 100 วันแรก จะเห็นได้ว่าโครงการต่างๆ ที่พูดไว้จะเดินก้าวหน้าได้ทั้งระยะสั้น และระยะยาว ไม่ต้องเสียเวลามาดูปัญหาอะไรอีก ความพร้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเราทำมานาน และเราตั้งใจจริง

หลังจากนั้น นายชัชชาติลงพื้นที่ตลาด อ.ต.ก. และเจเจมอล์ เพื่อพบปะผู้ค้า ประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของและรับฟังปัญหาต่างๆ ที่อยากให้แก้ไข