ผลจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ได้กระทบในหลายภาคส่วนทั่วโลก รวมไปถึงในภาคอุตสาหกรรม เพราะเพิ่มต้นทุนการผลิตให้ราคาสินค้าในโลกสูงขึ้น รวมทั้งราคาพลังงาน

ในส่วนราคาวัตถุดิบตลาดโลก ทั้งพลังงาน (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ) โภคภัณฑ์เกษตรและโลหะอุตสาหกรรม (ข้าวสาลี ข้าวโพด ปุ๋ยเคมี พืชน้ำมัน เหล็ก นิกเกิล อะลูมิเนียม เป็นต้น) น่าจะยืนระดับสูงในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปี 2565 จากวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อและมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียโดยชาติตะวันตก ที่คงจะอยู่ตลอดปี

ซึ่งปัจจัยนี้ ซ้ำเติมความไม่สมดุลระหว่างอุปทานและอุปสงค์ในตลาดโลก รวมทั้งทำให้ปัญหาคอขวดห่วงโซ่อุปทานกลับมารุนแรงอีกครั้ง โดยราคาวัตถุดิบต่างๆ อาจย่อลงได้ในครึ่งปีหลังในกรณีที่ทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาจนได้ข้อยุติหรือมีสัญญาณบวกเกิดขึ้น แต่ราคาเฉลี่ยทั้งปี 2565 นี้คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปี 2563-2564

ราคาวัตถุดิบต่างๆ ในประเทศจึงมีแนวโน้มปรับขึ้นจากปีก่อนและยืนสูงในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปีนี้สอดคล้องไปกับราคาตลาดโลก เนื่องจากส่วนใหญ่ไทยพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบต้นน้ำเหล่านี้และ/หรือราคาในประเทศมักจะเคลื่อนไหวตามราคาในตลาดโลก

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในปี 2565 ราคาวัตถุดิบกลุ่มพลังงานอย่างน้ำมันกลุ่มเบนซิน (แก็สโซฮอล์ 95) อาจจะปรับขึ้นเฉลี่ยราว 35-40% จากปีก่อน ขณะที่ราคาวัตถุดิบกลุ่มอาหารทั้งอาหารสัตว์และอาหารคนที่เป็นต้นน้ำของการผลิตอาหาร เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แป้งข้าวสาลี น้ำมันปาล์มขวด อาจปรับขึ้นเฉลี่ยราว 24-46%

ส่วนราคาเหล็กอาจเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 5-10% เป็นต้น ทิศทางดังกล่าว ทำให้คาดว่าดัชนีราคาผู้ผลิตที่เป็นหนึ่งในมาตรวัดต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ อาจจะเพิ่มขึ้นในปี 2565 เฉลี่ยราว 6.0-8.5% เทียบกับที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.7% ในปี 2564 และ 9.0% ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ภาคการผลิตอุตสาหกรรมไทยจะได้รับผลกระทบทั้งจากการเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบต่างๆ ที่มากกว่าที่เดิมเคยประเมินไว้ในกรณีที่ไม่มีสงคราม ความจำเป็นที่จะต้องหาสินค้าทดแทนในสถานการณ์ที่ของจะหายากขึ้นหรือไม่มีของ ซึ่งเป็นภาระต้นทุนที่ผู้ผลิตส่วนใหญ่ต้องแบกรับไว้ผ่านกำไร/มาร์จิ้นที่ลดลง หรือบางส่วนอาจต้องชะลอ/หยุดผลิตลงชั่วคราว

ทั้งนี้ เบื้องต้นประเมินว่า มูลค่าผลกระทบนี้อาจจะมีไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท โดยแต่ละธุรกิจจะได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสัดส่วนต้นทุนวัตถุดิบต่อต้นทุนรวมและความสามารถในการปรับตัว ซึ่งผู้ผลิตอาหาร รถยนต์ วัสดุก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์ เป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากมีสัดส่วนต้นทุนวัตถุดิบดังกล่าวต่อต้นทุนรวมที่ค่อนข้างสูง

ขณะที่ ผลกระทบบางส่วนอาจจะตกไปยังผู้บริโภคผ่านการทยอยปรับราคาสินค้าในระยะเวลาถัดๆ ไปขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณสต๊อกคงเหลือ ความสามารถในการหาวัตถุดิบทดแทน สภาพการแข่งขันในตลาดและกำลังซื้อผู้บริโภค เป็นต้น