วิกฤติการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยยังฉายภาพอันน่าสลดให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ทั้งตัวเลขผู้ติดเชื้อ การกระจายตัวของโรคไปทั่วทุกภาค ยอดผู้เสียชีวิตที่มากขึ้น และยิ่งหดหู่ใจด้วยภาพคนนอนตายริมถนน
ความหนักหนาสาหัสขนาดนี้ไม่ว่าจะเกิดจากการประเมินสถานการณ์ที่ผิดคาด หรือเกมเปลี่ยนไปเพราะปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ อย่างเรื่องการมาเยือนของเชื้อกลายพันธุ์
แต่เป็นหน้าที่ ที่ผู้เกี่ยวข้องทุกส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมด้วยศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ต้องยอมรับความจริง พร้อมทำสารพัดวิธีที่จะเร่งแก้ไขข้อบกพร่องให้ทันเวลา เพื่อกอบกู้สถานการณ์บ้านเมืองและชีวิตประชาชน
จึงนำไปสู่การตัดสินใจเปลี่ยนแนวทางยอมหันฟังเสียงจากฝ่ายสาธารณสุขเป็นหลัก ใช้การแพทย์กลับมาเป็นตัวนำในการต่อสู้วิกฤติ“โควิด-19” เพราะได้เห็นผลในช่วงที่ผ่านมาแล้วว่าการยังให้น้ำหนักกับเรื่องเศรษฐกิจนำการแพทย์ในวิกฤติไวรัสยังครองเมือง ไม่ได้ช่วยนำพาประเทศฟื้นตัวเดินหน้าได้เท่าที่ควร
แม้ได้เปลี่ยนแนวทางดำเนินงาน แต่ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ล่าช้าไป เพราะบ้านเราโดนเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่าง “เดลตา” แผลงฤทธิ์อาละวาดทั้งเร็วและแรง บุกโจมตีซ้ำเติมไปทั่วแล้ว
เมื่อมองเกมพลาด เดินแผนช้า ไม่นำพาเกิดผลที่ดี ประชาชนยิ่งบอบช้ำ ได้เข้าทางหมากเกมของฝ่ายตรงข้าม ทั้งพวกที่ไม่เอารัฐบาล “บิ๊กตู่” ด้วยความเห็นทางการเมือง และคนไม่ชอบใจรัฐบาลเพราะคิดว่ามาสร้างปัญหาต่อประชาชน
ตัวเลขต่างๆที่ขยับขึ้นในแต่ละวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ จำนวนผู้ลาโลกด้วยโรคร้ายที่ว่านี้ นอกจากฉายภาพที่น่าสะเทือนใจแล้ว ยังส่งผลให้คนบางส่วนที่เคยเข้าอกเข้าใจต่อภาครัฐและต่อสถานการณ์ เริ่มเอนเอียงความคิดไปอีกฝั่ง
และที่สำคัญ ได้ทำให้มีประชาชนที่เกิดความรู้สึกไม่มั่นใจต่อมาตรการต่างๆที่ภาครัฐกำลังดำเนินอยู่ หนักกว่านั้น มีคนบางส่วนที่ไม่ให้ความร่วมมือ บวกกับบางฝ่ายที่มองแต่เรื่องการเมือง จ้องช่วงชิงสถานการณ์อันย่ำแย่ไปขย่มซ้ำรัฐบาล
สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบกับเหล่าบุคลากรทางการแพทย์ที่กำลังร้องขอการใส่ใจจากผู้มีอำนาจมาดูแลเรื่องสุขภาพของผู้ปฏิบัติงาน ยังต้องทำงานยากขึ้น ทั้งจากภาระงานการรักษาผู้ติดเชื้อทวีคูณ แถมโดนซ้ำเติมจากคนที่ไม่ร่วมมือป้องกันโรคเข้าตัวพร้อมสกัดการระบาดของโรคต่อส่วนรวม
ขณะที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญบางท่านบอกเล่าความเหนื่อยกายและหนักใจของทีมนักรบชุดขาวในยามนี้ ว่า การเมืองบ้านเราเล่นกันแรง ทำให้คนไม่เชื่อมั่น ไม่ทำตามมาตรการสาธารณสุข งานควบคุมโรคจึงยากขึ้น แต่เราคงไม่บอกอีกว่าเขาต้องทำอะไรเพิ่ม เพราะประชาชนเหนื่อยล้าเต็มที่ ฝ่ายแพทย์ได้แค่ทำงานของเราต่อไป พร้อมให้กำลังใจคนทำงานด้วยกัน
เมื่อเหตุการณ์เดินมาถึงจุดนี้ มีทางเดียวคือผู้นำรัฐบาลต้องยอมรับภาพความจริง แล้วเร่งปรับเปลี่ยนแผนงาน แม้ล่าช้าไป แต่ดีกว่าไม่แก้ไขใดๆ
ขณะที่เราทุกคนคงหมดเวลากล่าวโทษหาตัวการคนทำพลาด แล้วมาร่วมใจตั้งการ์ดป้องกันโรคร้าย
แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์คงอยู่ไม่ไกลแน่นอน.