นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานแถลงข่าวผลการดำเนินงาน “โครงการกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย” (CCPOT) สู่สากล และพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการส่งเสริมการตลาดผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย โดยมีนายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร องค์กรเอกชน ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ชุมชนวัฒนธรรมและสื่อมวลชน เข้าร่วม ณ ห้องแกลเลอรี่ 5 ชั้น 1 หอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม    

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า โครงการกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย โดยดำเนินโครงการงานแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทย CCPOT GRAND EXPOSITION ที่จัดไปเมื่อวันที่ 16 – 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งผลของการจัดงานดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เกิดการเจรจาธุรกิจมากกว่า 260 คู่ สามารถสร้างมูลค่าการค้า ได้กว่า 600 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าที่เกิดขึ้นนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับมหภาค นอกจากนี้กระทรวงวัฒนธรรมยังได้รับการสนับสนุนจากองค์กรเอกชนรายใหญ่มาช่วยต่อยอดขยายตลาดผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชน ทำให้ชุมชนมีงานทำ มีรายได้ เศรษฐกิจชุมชนสามารถดำรงต่อไปได้อย่างยั่งยืน นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีของกระทรวงวัฒนธรรมที่ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ 7 องค์กรเอกชนที่จะร่วมกันส่งเสริมตลาดผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทยให้สัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยความร่วมมือหลักที่จะดำเนินการร่วมกันจะอยู่ในกรอบระยะเวลา 3 ปี ได้แก่ การส่งเสริมกิจกรรมความรู้พัฒนาศักยภาพตลาดและเพิ่มช่องทางการจำหน่ายรวมถึงความร่วมมือกันเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทยให้เป็นที่รู้จักผ่านสื่อในช่องทางต่าง ๆ และสนับสนุนพื้นที่จัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทั้งในและต่างประเทศ สำหรับความร่วมมือดังกล่าวกระทรวงฯ และองค์กรเอกชนจะร่วมกันดำเนินการ แก้ไขปัญหา/อุปสรรค เพื่อร่วมกันผลักดันให้โครงการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ให้โครงการนี้เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืนต่อไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อว่าจากการหารือกับ 7 องค์กรเอกชน เบื้องต้นได้รับคำแนะนำว่าผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทยกำลังเป็นที่จับตามองจากตลาดต่างประเทศ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์หัตถศิลป์ ที่หาได้ยากเป็นงานฝีมือที่มีคุณค่า ซึ่งภาคเอกชนมีความสนใจและต้องการที่จะซื้อผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทยเป็นจำนวนมาก เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคนำไปจำหน่ายในช่องทางการตลาดของตนเองที่เป็นการตลาดที่จำหน่ายสินค้าในพื้นที่จริง (offline) และตลาดออนไลน์ (online) โดยเน้นว่าผลิตภัณฑ์จะต้องมีเรื่องเล่าทางวัฒนธรรมและแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของชุมชน สำหรับองค์กรเอกชนทั้ง 7 หน่วยงานที่ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงกับทางกระทรวงวัฒนธรรมในวันนี้ ได้แก่

1. สมาคมการค้าส่งเสริมหัตถกรรมไทย (THTA) และ สมาคมส่งเสริมและพัฒนาหัตถกรรมอาเซียน (AHPADA)

2. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลุ่มอุตสาหกรรมหัตถกรรมสร้างสรรค์ (Creative Craft Industry Club)

3. สมาคมการค้าเพื่อความยั่งยืนของเกษตรกร (CASA Association) สนับสนุนสินค้าจากผู้ประกอบการเพื่อขยายตลาดสู่ประเทศจีน 

4. Thai Pavilion Corporate Co., Ltd. ตัวแทนการค้ารายใหญ่เพื่อนำสินค้าไทยไปจำหน่ายในประเทศจีน ในหลากหลายช่องทางรวมถึงสนามบิน 

5. บริษัท เจียเม้งมาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ดำเนินการร้านใบเมี่ยง ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพรายใหญ่

6. บริษัท บางกอก อินสตรูเม้นท์ เซ็นเตอร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจนำสินค้าจากผู้ประกอบการเข้าสู่ห้างค้าปลีกทั้งในและต่างประเทศ

7. บริษัท ครีเอทีฟ สเปซชิพ จำกัด บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ในประเทศจีนและฮ่องกง มากว่า 10 ปี อาทิ ALIBABA.COM TMALL.COM TAOBAO WEIBO.COM GOOD ROUGTHER 

“ความสำเร็จในครั้งนี้ เป็นเพียงก้าวแรกของการดำเนินงานในโครงการกระตุ้นและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนไทยสู่สากล นับจากนี้ต่อไปกระทรวงวัฒนธรรมยังมีแผนที่จะขยายไลน์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมชุมชนจากที่ทำอยู่ในปัจจุบันในกลุ่ม ผ้าทอ งานจักสาน ของที่ระลึก งานหัตถกรรม อาหารแปรรูป ต่าง ๆ จะขยายไปสู่ไลน์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รวมถึงการสานต่อความร่วมมือกับภาคเอกชนรายใหญ่อื่น ๆ เพื่อส่งเสริมช่องทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการฐานราก ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการดำเนินการตามนโยบาย การนำวัฒนธรรมมาสร้างเศรษฐกิจด้วยการพัฒนายกระดับสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม เพื่อมุ่งพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่อุตสาหกรรมวัฒนธรรม และขยายตลาดสินค้าและบริการทางวัฒนธรรมทั้งในและต่างประเทศ และพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เป็นสินทรัพย์ทางวัฒนธรรมและทรัพย์สินทางปัญญาบนหลักการของโมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG นั่นเอง” รมว.วธ.กล่าว