วันที่ 15 มี.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างแผนรองรับวิกฤติการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงปี 63-67 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 เป็นการเปลี่ยนแผนรองรับวิกฤติการณ์น้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนหลักเกณฑ์การบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้แนะนำให้ดูแลราคาก๊าซธรรมชาติและก๊าซหุงต้ม รวมทั้งให้กองทุนน้ำมันส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้มากที่สุด
สำหรับสาระสำคัญ คือยกเลิกวงเงินการบริหารจัดการกองทุนน้ำมัน โดยให้ยกเลิกวงเงินการบริหารกองทุนน้ำมัน รวมวงเงินกู้ยืม 40,000 ล้านบาท จากเดิมแผนรองรับวิกฤติฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ระบุว่า การบริหารจัดการกองทุนน้ำมันต้องมีจำนวนเงินเพียงพอ เพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเมื่อรวมกับเงินกู้แล้วต้องไม่เกิน 40,000 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผันผวนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การปรับยกเลิกครั้งนี้ เพื่อรองรับการดำเนินการให้รวดเร็ว และทันท่วงที ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการดูแลราคาน้ำมันให้กับพี่น้องประชาชน
นอกจากนี้ได้ปรับกลยุทธ์การถอนกองทุนน้ำมัน ให้ยกเลิกการปรับสัดส่วนการช่วยเหลือลงครึ่งหนึ่ง เมื่อฐานะกองทุนน้ำมันใกล้ติดลบตาม พ.ร.ฎ.ขยายกรอบเงินกู้ 30,000 ล้านบาท แต่ยังคงดำเนินการหารือการปรับลดภาษีสรรพสามิต เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันให้เหมาะสม ไม่ให้กองทุนขาดสภาพคล่อง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงแผนรองรับวิกฤติการณ์ ในส่วนของหลักเกณฑ์การบริหารจัดการกองทุนน้ำมัน เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และให้มีเงินเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพด้วย
นายธนกร กล่าวว่า นายกฯ ยังได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานติดตามผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน เพราะไทยอยู่ในห่วงโซ่การค้า แม้ไทยจะค้าขายไม่มากกับทั้งสองประเทศก็ตาม แต่ก็ยังได้รับผลกระทบ ทำให้ต้องเร่งรัดหาตลาดใหม่ๆ ในกลุ่มประเทศเอเชียใต้ เพราะมีประชากรจำนวนมากสำหรับการค้าสินค้าตลาดโลก