นายคณิสสร์ ศรีวชิระประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ มีมติเร่งรัดให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) 100% ในปี 78 โดยในปี 73 จะต้องผลิตรถไฟฟ้าให้ได้ 50% ของปริมาณการผลิตรถทุกชนิด ซึ่งสำนักนโยบายและแผนพลังงานคาดว่า จะมีการใช้รถ EV จำนวน 138,918 คัน ภายในปี 2568 เพื่อที่ประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิต EV สำคัญของโลก ทั้งตั้งเป้าเร่งผลิต อีวีสะสมไว้ที่ 1,051,000 คัน ภายในปี 68 และจะเพิ่มการผลิตสะสมที่ 6,224,000 คัน ภายในปี 73 นั้น

จากภาพรวมตลาดยานยนต์ไฟฟ้าของไทยในปัจจุบัน พบว่ายอดจดทะเบียนในแต่ละปีมีจำนวนน้อยมาก เมื่อเทียบกับยานยนต์เชื้อเพลง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่กีดขวางการเติบโตของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย มาจากปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้งาน ราคาจำหน่ายรถอีวีภายในประเทศค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับยานยนต์ปกติ ที่สำคัญคือความไม่ชัดเจนของนโยบายภาครัฐ ในการส่งเสริมการใช้รถยนต์อีวี ส่งผลให้ประชาชนยังไม่มีความมั่นใจในการเปลี่ยนแปลงมาใช้รถอีวี จึงยังไม่สามารถกระตุ้นการซื้อรถอีวีได้

นายคณิสสร์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมารัฐบาลประกาศแผนเส้นทางอนาคตของตลาดรถอีวี และจะทำให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถอีวีที่สำคัญของโลก แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนแต่อย่างใด จึงขอเสนอรัฐบาลว่ารัฐควรกำหนดนโยบายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมในการส่งเสริมการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า อาจจะพิจารณาความเหมาะสมจากแนวทางดำเนินการของประเทศต่างๆ อาทิ การลดภาษีสรรพสามิตและภาษีการครอบครองรถยนต์อีวีของจีน

อุดหนุนเงินส่วนต่างระหว่างราคารถอีวีกับรถเบนซิน ของญี่ปุ่น การให้เงินอุดหนุนเพื่อซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ของอังกฤษ หรือให้การลดหย่อนภาษี/เครดิตภาษี (Tax credit) และอุดหนุนการซื้อรถอีวีของสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้ตลาดรถอีวีในยุโรป มีการจดทะเบียนในปี 63 ไปแล้ว 54% เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากปี 62 โดยประเทศเนเธอร์แลนด์ 82% นอร์เวย์ 73% อังกฤษ 62% และฝรั่งเศส 60% ส่วนสหรัฐอเมริกา ลดลงเหลือ 78% จำนวน 295,000 คัน เมื่อเทียบกับปี 62 ที่ 327,000 คัน ขณะที่จีนจดทะเบียนสูงถึง 80%  

นายคณิสสร์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้รัฐควรกำหนดแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การลงทุนในปัจจัยพื้นฐานสำหรับการใช้งานรถอีวี ให้เงินสนับสนุนการซื้อรถเชิงพาณิชย์กับผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาต เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการภายในประเทศ มาตรการและแนวทางจัดหารายได้ให้กับภาครัฐ เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ ซึ่งมาตรการและแนวทางดังกล่าวนอกจากจะส่งเสริมให้เกิดรายได้จากการผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศแล้ว

ยังจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในประเทศและดุลการค้าระหว่างประเทศในเชิงบวกแล้ว ยังช่วยเพิ่มปริมาณการใช้รถอีวีภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยลดอัตราขาดดุลการค้าจากการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลงจากต่างประเทศ โดยใช้พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตเองได้ภายในประเทศ รวมทั้งเพิ่มความสามารถทางด้านเศรษฐกิจในการเป็นผู้นำด้านการผลิตและประกอบยานยนต์พลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน  

นายคณิสสร์ กล่าวด้วยว่า ที่สำคัญช่วยลดปัญหามลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์สันดาป ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน และปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ซึ่งจากเว็บไซต์ The World Air Quality Project 2563 ระบุว่าค่า PM 2.5 โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ สูงติดอันดับท็อปเทนของโลก

นับวันปัญหายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น การหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็นพลังงานบริสุทธิ์จะส่งผลให้คนไทยมีสภาพแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ส่งเสริมภาพลักษณ์เมืองสีเขียวและประเทศสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลดีต่อการท่องเที่ยว ส่งออกสินค้า เจรจาการค้าระหว่างประเทศ ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ ช่วยสร้างความเชื่อมั่น และปลุกวิกฤติศรัทธาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลให้กลับคืนมา