นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวต่อว่า คลังกำลังหารือกับกระทรวงพลังงาน เพื่อหาแนวทางช่วยลดภาระค่าครองชีพ เช่น การช่วยเหลือค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า แก่กลุ่มเปราะบาง ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่จะครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มหรือไม่นั้น ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง
สำหรับการดูแลราคาดีเซล 30 บาท โดยใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น เท่าที่มีการประเมินคือหากราคาตลาดโลกอยู่ระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล กองทุนที่มีเงินอยู่ 3-4 หมื่นล้านจะดูแลไปได้ถึงเดือน พ.ค.65 แต่ถ้าน้ำมันขึ้นไปถึง 120-130 ดอลลาร์ จะต้องพิจารณาอีกที ซึ่งรัฐบาลติดตามอย่างใกล้ชิด แต่ต้องดูปริมาณการใช้น้ำมันประกอบด้วย ซึ่งขณะนี้รัฐบาลพยายามรณรงค์ลดการใช้น้ำมันอยู่ ส่วนจะลดภาษีน้ำมันเพิ่มเติมหรือไม่ ต้องคุยและประเมินกัน
ส่วนมาตรการลดภาษีสรรพสามิตอัตราศูนย์สำหรับการนำน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาไปผลิตกระแสไฟฟ้า นาน 6 เดือน คาดจะทำให้โรงไฟฟ้ามีการนำเข้าดีเซล 200 ล้านลิตรต่อเดือน และนำเข้าน้ำมันเตา 35 ล้านลิตรต่อเดือน เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าทดแทนก๊าชธรรมชาติ โดยจะทำให้รัฐสูญโอกาสเก็บรายได้ภาษี 7,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ไม่ได้มีผลกับการจัดเก็บรายได้โดยตรง เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยมีการนำเข้าน้ำมันทั้ง 2 ชนิดมาผลิตไฟฟ้าอยู่แล้ว ส่วนการลดภาษีครั้งนี้ จะทำให้ไม่มีการปรับขึ้นค่าไฟเลยหรือไม่ ขึ้นอยู่การพิจารณาคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
ทั้งนี้ ได้สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินผลกระทบเศรษฐกิจไทยร่วมกัน โดยปัจจุบัน สศค. ได้ประเมินจีดีพี ปี 65 ไว้ในกรอบ 3.5-4.5% ซึ่งหากการเติบโตลดลงแต่ยังอยู่ในกรอบที่วางไว้ ก็ยังถือว่ายอมรับได้ แต่ก็ต้องรอประเมินสถานการณ์โดยเฉพาะการส่งออกอีกครั้ง