นายอิสระ ศิริไสยาสณ์ ผอ.สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยถึงแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควัน จังหวัดเชียงใหม่ ว่า สถานการณ์ไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ของ จ.เชียงใหม่ ในห้วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 65 ตรวจพบจุดความร้อนทั้งหมด 1,008 จุด โดยแบ่งเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ 325 จุด, ป่าสงวนแห่งชาติ 539 จุด, พื้นที่เกษตร 24 จุด, เขตสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร 90 จุด และพื้นที่อื่น ๆ 30 จุด โดยมีพื้นที่ถูกเผาไหม้เสียหายทั้งหมด 123,096.32 ไร่ ซึ่งจากค่าเฉลี่ยสูงสุดในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้คาดว่าในช่วงเดือนมีนาคมจะมีแนวโน้มการเกิดไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เพิ่มสูงขึ้น ทางกองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าหมอกควันและฝุ่นละอองภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า ได้มีการฝึกออกลาดตระเวนดับไฟป่า โดยใช้เฮลิคอปเตอร์ MI 17 บินสำรวจในพื้นที่ป่าของดอยสุเทพ และในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม เพื่อซักซ้อมการดับไฟ ทั้งทางอากาศยานและภาคพื้นดิน ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยจะดำเนินการในช่วง มี.ค. จนถึง เม.ย. 65

ทั้งนี้ จ.เชียงใหม่ ได้ตั้งศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าหมอกควันจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์ที่ทันสมัยที่สุดในภาคเหนือ มีการใช้ระบบดาวเทียมและระบบ FIRE-D ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงในเรื่องของการเผาในที่โล่ง โดยผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานดำเนินการแก้ไขปัญหาภายใต้การบูรณาการ ขณะเดียวกัน ในส่วนของพื้นที่เขตป่าสงวนและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ได้มีการจัดตั้งอาสาสมัครป้องกันไฟป่า ขับเคลื่อนร่วมกับเจ้าหน้าที่ในการลาดตระเวน อาสาสมัครภาคประชาชน รวมถึงได้มีการจัดทำบัญชีผู้มีพฤติกรรมการหาของป่า เพื่อขอความร่วมมือให้งดการเผาในช่วงเวลาดังกล่าว ส่วนพื้นที่เกษตรกรรม สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงใหม่ และ สำนักงานสหกรณ์จังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสานกับหน่วยงานภาคเอกชน ขอความร่วมมือรับซื้อวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ได้แก่ ใบไม้ ซังข้าว หรือซังข้าวโพด เพื่อนำมาบริหารจัดการเชื้อเพลิงต่อไป ทั้งนี้ หากประชาชนที่มีความจำเป็นต้องเผา จะต้องขออนุญาตจากทางอำเภอเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามาดูแลกำกับอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ในด้านการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละอองในอากาศ จ.เชียงใหม่ ได้มีการตั้งจุดตรวจรถยนต์ที่มีควันดำ ภายใต้โครงการ “ตรวจ-จับ ปรับจริง ห้ามใช้รถยนต์ควันดำ” ซึ่งได้ตั้งจุดตรวจ 8 ครั้ง และได้เรียกรถเข้าตรวจสอบ 618 คัน พบว่ามีรถที่มีค่าควันดำเกินมาตรฐานและได้สั่งห้ามใช้ชั่วคราว จำนวนทั้งหมด 121 คัน