ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พีทีที สเตชั่น และบางจากคอร์ปอเรชั่น ได้ประกาศปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มดีเซล ทุกชนิดขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร ส่วนกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิด คงเดิม มีผล 2 มี.ค. 65 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป โดยราคาขายปลีกจะเป็นดังนี้ เบนซิน ลิตรละ 43.96 บาท, แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 36.55 บาท, อี 20 ลิตรละ 35.44 บาท, แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 36.28 บาท, อี 85 ลิตรละ 28.74 บาท, ดีเซล B7 ลิตรละ 29.74 บาท, ดีเซล-B10 ลิตรละ 29.74 บาท, ดีเซล-B20 ลิตรละ 29.74 บาท, ดีเซลพรีเมียม B7 ลิตรละ 35.76 บาท โดยราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ตั้งแต่รัสเซีย เปิดฉากบุกยูเครน ประมาณวันที่ 24 มี.ค. ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ปรับขึ้นมาแล้ว 3 ครั้ง โดยน้ำมันดีเซลปรับขึ้นมาแล้ว 1.80 บาท ขณะที่เบนซิน – ก๊สโซฮอล์ปรับขึ้นมาแล้ว 80 สต.
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท. กล่าวว่า ทิศทางราคาน้ำมันยังต้องเกาะติดสถานการณ์การสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน หากสู้รบรุนแรง ราคาอาจขึ้นไปทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบการจัดหาน้ำมัน ยืนยันว่า ปตท. สามารถบริหารจัดการไม่ให้เกิดการขาดแคลนน้ำมันในประเทศไทย เนื่องจากแหล่งซื้อน้ำมันอยู่ห่างไกลจากพื้นที่สู้รบในยูเครน แต่ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นคงหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่หากกรณีสหรัฐเลิกมาตรการคว่ำบาตรประเทศอิหร่าน จะส่งผลให้ให้กำลังผลิตน้ำมันมีเพิ่มขึ้นในระบบ ซึ่งอิหร่านอาจจะผลิตน้ำมันออกมาได้ปลายปีนี้ และราคาน้ำมันอาจปรับตัวลงได้บ้าง