เมื่อวันที่ 27 ก.พ. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือไทย งบประมาณทั้งสิ้น 44,222 ล้านบาท ว่า โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจีนมีทั้งหมด 3 ลำ ในสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม โดยซื้อไปแล้ว 1 ลำ งบประมาณ 12,424 ล้านบาท อยู่ระหว่างการก่อสร้างในปีงบประมาณ 60-66 ส่วนอีก 2 ลำที่เหลือยังไม่จัดซื้อ งบประมาณ 22,500 ล้านบาท เพราะพรรค พท. ได้คัดค้าน ไม่ใช่เพราะพล.อ.ประยุทธ์ เห็นแก่ความอดอยากและความเดือดร้อนประชาชน แต่ตนพบว่าเรือดำน้ำลำที่ 1 ที่จะส่งมอบให้พบว่าไม่มีเครื่องยนต์ และมีแค่ตัวเครื่องเท่านั้น เพราะประเทศจีนผลิตเครื่องยนต์ดีเซลสำหรับเรือดำน้ำไม่ได้ ต้องไปซื้อจากประเทศเยอรมันเท่านั้น แต่เขาไม่ขายเครื่องยนต์ให้ ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนสัญญาด้วยการนำเครื่องยนต์จากจีนใส่ไปแทน หลังจากนี้ ตนจะทำหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ให้ห้ามเปลี่ยนสัญญา เพราะเครื่องยนต์เรือดำน้ำเป็นสิ่งสำคัญและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ 

นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนความไม่โปร่งใสเฉพาะโครงการก่อสร้างท่าจอดเรือดำน้ำและอาคารสนับสนุนบริเวณท่าเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ ระยะที่ 1 ปีงบประมาณ 63-63 งบประมาณ 900 ล้านบาท และโครงการก่อสร้างท่าจอดเรือดำน้ำและอาคารสนับสนุนบริเวณท่าเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ ระยะที่ 2 ปีงบประมาณ 64-66 งบประมาณ 950 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างหนี้ก้อนใหญ่ให้ประเทศและกองทัพเรือ ตนพบข้อพิรุธ บริษัท CSOC ที่ไม่ได้เป็นตัวแทนรัฐบาล แต่เป็นเพียงบริษัทนายหน้าที่มาทำจีทูจีเก๊ โดยการสร้างท่าจอดเรือดำน้ำต้องมีการส่งวิศวกรทางการทหารเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งผู้จัดการโครงการนี้และคณะ ต้องขออนุญาตทำงานกับกระทรวงแรงงาน แต่ในเอกสารการอนุญาตการทำงานในประเทศไทย ระบุว่า เป็นครูสอนภาษาจีน จึงแปลกใจว่าเอาครูสอนภาษาจีนมาก่อสร้างท่าจอดเรือดำน้ำได้อย่างไร ทั้งที่เป็นความลับทางทหาร และต้องใช้ความชำนาญในการทำงาน ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวได้เบิกเงินล่วงหน้าไปแล้ว 15% ตั้งแต่เดือนเม.ย. 64 ปัจจุบันผ่านมาแล้ว 10 เดือน ปรากฎว่างานยังเป็นศูนย์ ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด หากเป็นแบบนี้จะเป็นการเข้ามาหลอกรัฐบาลไทยและกองทัพเรือไทยหรือไม่ ฉะนั้นความลับหรือความมั่นคงทางทหารของประเทศไทยจะอยู่ตรงไหน

“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ต้องออกมารับผิดชอบ เพราะเป็นบิดาแห่งเรือดำน้ำไทย เพราะเคยพูดไว้ว่า เรือดำน้ำมีประโยชน์มาก ในฝั่งทะเลอันดามัน ในระยะ 200 ไมค์ทะเล ตอนนั้นยังเป็นรมว.กลาโหม” นายยุทธพงศ์ กล่าว.