จัดเป็นอีกหนึ่งดีเจคนดังที่หลายคนชื่นชอบหนักมากสำหรับหนุ่ม มะตูม เตชินท์ ที่ชีวิตขับเคลื่อนด้วยการด่า ด่าจนดัง เกาะคนดังจนมีชื่อเสียง ทำให้เกิดแฮชแท็ก #ตูมสนิท พร้อมเปิดมรสุมครั้งใหญ่ของชีวิตกับการจัดปาร์ตี้วันเกิดจนติดโควิด-19 โดนด่า โดนประณาม จนอยากจบชีวิตในคืนวันที่ 29 มกราคม โดยดีเจมะตูมเล่าหมดผ่านรายการคุยแซ่บshow ถึงเรื่องนี้

มะตูม เผยว่า “ตอนนั้นตูมหนักมากๆ อย่างที่ทุกคนทราบ ช่วงสถานการณ์ที่ตูมติดโควิดเมื่อต้นปี 2021 เป็นคนในวงการคนแรกที่ติดโควิด แล้วก็น่าจะหนักมากด้วยกับข่าวตอนนั้น น่าจะมีตูมคนเดียวในวงการที่ติดโควิดไปด้วยแล้วโดนคดีความไปด้วย เหมือนวันนึงเราไปทำงาน ไปถ่ายรายการ ไปจัดรายการตามปกติ วันรุ่งขึ้นเราจัดปาร์ตี้ ถ้ดมาปุ๊บเรามีผลออกมาว่าเป็นบวก ชีวิตเรากลายเป็นอีกคนเลย จากคนในวงการ ต้องโดนออกมาจากวงการ แล้วไปสู่กระบวนการของกฎหมาย ตอนนั้นทุกสิ่ง ทุกอย่างมันถาโถมเข้ามาแบบใช้คำว่าตั้งรับไม่ทัน วันที่ 29 มกราคม โทรฯ หาพี่บอกว่าอยากฆ่าตัวตาย แค่บอกว่าพี่หนิงหนูไม่อยากรู้สึกอะไรอีกแล้ว มันหนักไปแล้ว ทุกๆ การดังของโทรศัพท์เรามันเหมือนเป็นเสียงนรก คือมันเหมือนคนจมน้ำ แต่ไม่ยอมตายสักที เรานอนไม่ได้ เรากินไม่ได้ เราไม่รู้เลยว่าทันจะเกิดอะไรขึ้น ที่มันหนักจริงๆ คือ จากที่มันมีข่าวคลัสเตอร์ลามไปอีกงานนึง แล้วก็มีคนต้องเดือดร้อนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เรื่องคอมเมนต์ไม่ต้องพูดถึง แม่ตูมแบบโดนหนักมาก นี่เป็นสิ่งที่เป็นตราบาปในใจอยู่เลยคือ ทำให้คนเกือบทั้งประเทศไล่แม่ อยากให้แม่เราไปตาย”

“มันมีคอมเมนต์นึงมันเอาออกจากหัวไม่ได้เลย คือ ก็เพราะคันคะเยอที่อยากจะจัดปาร์ตี้ทำให้คนอื่นต้องซวยกันไปหมด ขอให้โควิดลงปอดมึง แล้วแม่ของมึง แล้วหายไปจากโลกใบนี้ ตูมหายไปจากโลกใบนี้ โอเคคุณอาจจะพอใจ แต่ว่าแม่ตูมไม่สมควร เขาเป็นผู้หญิงที่ดีครับ เรารักแม่มาก แต่ที่อยากจบชีวิตวันที่ 29 มกราคม เพราะวันที่ 29 เป็นวันที่คดีความเริ่มหนักขึ้น เป็นคดีที่คนทั้งประเทศให้ความสนใจ ปกติตูมจะเจอนักข่าวบันเทิง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ตูมต้องเจอนักข่าวอาชญากรรม เจอนักข่าวที่ตูมไม่รู้จักมาก่อน และการตอบคำถามของตูมในตอนนั้น เราไม่ได้ไปพูดไปขอโทษสังคมในฐานะดีเจมะตูม เราไปในฐานะประชาชนคนนึงที่ทำผิดต่อสังคมแล้วต้องขอโทษ มันทำให้เรารู้สึกว่านี่อาจจะเป็นวันสุดท้ายแล้วแหละที่ได้นั่งอยู่หน้ากล้อง คำว่าดีเจมะตูมเสิร์ชเข้าไปในกูเกิล ผลงานสร้างชื่อ คือติดโควิด สิ่งที่ทำมาทั้งหมดในวงการไม่ว่าจะเป็นผลงานด้านไหนก็ตาม มันหายไปหมด แล้วมันมีคำว่าคลัสเตอร์มะตูม, มะตูมซูเปอร์สเปรดเดอร์ ชื่อนี้มันจะติดตัวเราไปตลอด เพราะฉะนั้นตูมคิดว่าอนาคตในวงการมันจบแน่นอน”

มะตูม เล่าต่อว่า “คำว่าตายเท่านั้นชดใช้เรื่องนี้  คือตอบอยากให้พี่หนิงรู้ไว้ว่าที่พี่พยายามช่วยตูม เอาธรรมะเข้ามาหาตูม มันสายไปแล้วนะพี่ ตอนนั้นแค่มีความรู้สึกว่าทำยังไงก็ได้ให้ฉันไม่ต้องรู้สึกทรมานแบบนี้ได้ไหม ตั้งแต่ตูมเกิดมาจนอายุ 30 กว่า สิ้นมกราคมปีที่แล้ว ตูมใช้คำว่านั่นคือช่วงเวลาที่ทุกข์และตกต่ำที่สุดในชีวิตของตูมแล้ว ตูมไม่เคยสัมผัสความทุกข์ทรมานขนาดนั้นมาก่อน มันเหมือนคนตายทั้งเป็นอยู่ตลอดเวลา แต่ที่ผ่านมาได้เพราะน้ำพริกกะปิฝีมือแม่ ภาพที่ตูมเห็นผู้หญิงคนนึงยืนอยู่หน้าห้อง ICU แล้วมีกระจกใสๆ แม่ยกมือไหว้พยาบาลขอให้ลูกได้เอาข้าวกล่องนี้ไปกินในห้องได้ไหม มันเป็นภาพที่แบบเรานั่งอยู่บนเตียงแต่เรามองเห็นแม่เราแบบจะเอามาให้ได้ ซึ่งตูมไม่รู้ว่าในนั้นคืออะไร พยาบาลยอม พอเขาเอาเข้ามา กล่องข้าวอันนั้นมันคือกล่องเดียวเหมือนกับตอนไฮสคูลเลย ณ วินาทีนั้นเรารู้สึกว่าเราจะเป็นอะไร เราจะติดโควิด คนจะเกลียดเราทั้งประเทศยังไง เรายังคือมะตูมลูกของแม่หญิงที่เขาอยากจะดูแลเราไปตลอด ในกล่องข้าวมันมีโน๊ตเล็กๆ เขียนไว้ว่า จำได้ไหมนี่คือสิ่งที่แม่เคยทำให้ ดีใจจังที่มีโอกาสได้ทำอีกครั้ง ตูมไม่ได้รู้เรื่องความกตัญญูตอนที่ตูมบวชนะครับ ตูมรู้วันนั้น ตูมรู้ว่าสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในชีวิตมนุษย์ ของบุตรคือบุพการี ตูมรู้เลยว่าไม่ว่าตูมจะเป็นคนแบบไหนในสังคม ไม่ว่าตูมจะถูกหล่อหลอมแบบไหนด้วยสังคมยังไงก็แล้วแต่ พ่อกับแม่ไม่มีวันทิ้งตูม อันนี้คือสิ่งที่ตูมรู้วันนั้น”

“พี่อั้มเป็นคนในวงการที่หนักพอๆ กับพี่หนิง พี่หนิงไปคอมเมนต์ พี่ดาด้าไปคอมเมนต์แล้วโดน พี่มดดำ พี่ต้นหอมโดนเยอะกว่าใครเลย แต่พี่อั้มไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เพียงแค่เป็นเพื่อนกับเราแค่นั้นเองเขาโดน มันมีสำนักข่าวนึงพวดหัวว่า ชาวเน็ตโหวตให้อั้มเลิกคบมะตูม พี่รู้ไหมวันที่ตูมอ่าน ถ้าตูมเป็นชาวเน็ต ตูมก็โหวตให้เลิกคบ ที่คิดแบบนั้นเพราะภาพที่ออกไปคือพี่อั้ม เป็นซุป’ตาร์ แล้วกูเป็นแค่ดีเจปากหมาคนนึงมาอยู่ข้างอั้ม คนก็จะตีตราแล้วว่าเราควรอยู่ระดับนี้ เพราะพี่อั้มอยู่ระดับนั้น แต่คนเราเวลามันเป็นกัลยาณมิตรกัน มันไม่มีใครมองหรอกว่าใครรวยกว่ากัน ใครดังกว่ากัน เพื่อนคือเพื่อน ซึ่งพี่อั้มไม่เคยเอาข่าวที่ทำให้เขาเดือดร้อนมาใส่ตูมเลย ทั้งที่เขามีสิทธิที่จะเลิกคบตูมได้นะตอนนั้น เพราะว่าคนไปขุดเอารูปเก่าๆ ที่เขามางานวันเกิดตูมปีก่อนๆ มาเป็นประเด็น เรื่องไทม์ไลน์อะไรต่างๆ พี่อั้มโดนหนักเหมือนกัน ตูมก็เกรงใจเขา เพราะเขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แต่ความคิดน้อยใจของเราไปเอง เราคงจะไม่ไปยุ่งกับเขาเยอะ แล้วเราเกรงใจ กลับกลายเป็นว่าวันที่ตูมออกจากโรงพยาบาล ตูมไปสถานีตำรวจเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่หนิงโทรฯ มาว่ามาหาที่บ้านหน่อย คิดถึง ไม่ได้เจอพี่หนิงเลย แล้วตูมก็ขับรถไปหาพี่หนิง พอตูมไปถึงหน้าบ้าน ตูมไม่ได้เจอพี่หนิง แต่ตูมเจอซูเปอร์สตาร์คนนั้นเดินลงมา ตูมจำได้พี่อั้มใส่เดรสลายดอกสีแดง ผมยาวตรง วันนั้นพี่อั้มสวยมาก วินาทีที่เขาเดินมาจากรถตู้ ในใจตูมมีเป็นหมื่นล้านคำ พี่อั้มตูมขอโทษนะพี่ที่พี่โดนด่าไปด้วย แต่เรากลับพูดอะไรไม่ออกเลย เพราะว่ามันจบด้วยเขาเดินเข้ามากอดเรา แค่กอดนั้นมันเหมือนชุบชีวิตเราขึ้นมาเลยว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องพูดอะไร เอาแค่นี้ พอกอดเสร็จปุ๊บพี่อั้มขึ้นรถแล้วกลับบ้าน พี่อั้มแค่แวะมากอดแล้วก็ไป ตูมไม่รู้นะว่าตูมกับพี่อั้มผ่านเรื่องราวมาด้วยกันเยอะ แต่กอดนี้ทำให้ตูมรู้ว่า นี่ไงนางฟ้าของกู ตอนที่พี่หนิงออกโรงพยาบาลมาดูแลตูม พาตูมไปปฏิบัติธรรม ต้องมีคนอีกจำนวนมากทักหาพี่หนิงแล้วบอกว่าไปช่วยมันทำไม”

ดีเจดังเล่าอีกว่า “ที่คนบอกเราบวชล้างบาป คุณมีสิทธิคิดอย่างนั้นได้นะครับ ตูมเข้าใจเลยว่าคนจำนวนมากต้องคิดแบบนั้น แต่สำหรับตัวตูม ตูมต้องการบวชเพื่อศึกษาพระธรรมคำสอน ต่อให้ตูมไม่บวช ตูมทำอะไรสักอย่างถ้าเขาไม่ชอบก็คือคนไม่ชอบ คอมเมนต์ในโซเชียลเขาตะโกนว่าเรา 100 คน แต่ถ้าเราเลือกเอาแต่ดีๆ ที่เป็นประโยชน์มาไว้ใกล้ๆ หูเราก็เดินต่อได้ ไอ้คอมเมนต์ด่าเราทั้งหมดตูมไม่เพิกเฉย แต่ตูมก้าวผ่าน ตูมทำได้ไงครับ ตูมสามารถเลือกที่จะวางเขาได้ มีคนหาว่าตูมเอาปัจจัยไปกินเด็กวัดอันนี้แรงมาก ตอนนั้นยังเป็นพระอยู่ โยมพี่หนิง อาตมาไม่ได้เป็นอย่างที่คนเขาคอมเมนต์ โยมเชื่อเนาะ เชื่อแต่มันไม่ได้นะ อันนี้ฟ้องได้นะ ฟ้องเขาใครได้ประโยชน์ ตูมได้อะไร เขาได้อะไร เขาเสียเงินด้วยซ้ำถ้าเขาแพ้ แต่ถ้าตูมจิตกุศลมองทุกอย่างให้มันเป็นธรรม มีทุกข์ มีสุข มีชมและมีด่า มันมาคู่กันอยู่แล้ว มนุษย์ไม่สามารถห้ามไม่ให้ใครตำหนิใครได้ เพราะตัวเราเองยังตำหนิคนอยู่เลย ฝากคนที่ดูอยู่ตอนนี้เลย ไม่ว่าใครก็ตามที่มาด่าคุณในโซเชียลให้ทำความเข้าใจไว้ว่าเพราะเขาไม่ได้รู้จักเราดี และไม่ได้อยากรู้จักเราดีด้วย เพราะถ้าเขาอยากรู้จักเราจริงๆ เขาจะไม่ตัดสินเราขนาดนั้น พี่รู้ไหม คนที่พิมพ์ด่าเราในโซเชียล บางคนพิมพ์เป็นหน้ากระดาษเลย เขาเสียเวลาพิมพ์ด่าเราไม่น่าเกิน 5 นาที เราจะเก็บ 5 นาทีนั้นมาเป็นชั่วชีวิตเราไม่ได้”