พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “วาจาที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์แม้ตั้งพัน ยังไม่ประเสริฐเท่าวาจาที่ประกอบด้วยประโยชน์ เพียงบทเดียว”   

เพื่อนคนหนึ่งอ้วนมากๆ เดินผ่านมา ฉันเลยทักไปว่า “ไปไหนเหรอนางเบาหวิว” 

เพื่อนผู้ชายผิวดำคล้ำผ่านมา ฉันพูดพร้อมหัวเราะว่า “สบายดีไหมคุณสำลี”   

ระวังความคุ้นเคย จะเหยีดหยามคนอื่น เช่น เธอไม่สวย, ไม่เห็นหล่อเลย, หน้าก็เบี้ยว, ขี้เหร่มากๆ, หน้าหัก, หน้าปลอม, ผอมเหมือนไม้เสียบผี, เตี้ยยิ่งกว่าต้นมะเขือ, สิวเต็มเบ้าหน้า, ดำจนเขียว, ขาใหญ่ยังกับขาโต๊ะสนุ๊ก, จอแบน, เหยิน, เหม่ง, ตุ๊ด, สายเหลือง, ขุดทอง, กะเทย, โสเภณี, กะหรี่, แมงดา, ชะนี, สลิ่ม, ตลาดล่าง, ปัญญาอ่อน, ต่ำตม, ไดโนเสาร์ ต้องระวังการ “บูลลี่”  

“การพูดให้เพื่อนเสียหน้า พ่อแม่เสียใจ คนรักเสียความรู้สึก ไม่ได้ทำให้ชีวิตใครดีขึ้น” 

บัณฑิตโบราณ จึงมีปริศนาธรรมว่า “ตามีหน้าที่ดูอย่างเดียว แต่ธรรมชาติให้มา 2 ตา หูมีหน้าที่ฟังอย่างเดียว แต่ธรรมชาติให้มา 2 หู แต่ทำไมปากมีหน้าที่ถึง 2 อย่าง คือทั้งกินและพูด ธรรมชาติกลับให้มาเพียงปากเดียว”  

ท่านเฉลยว่า “คนฉลาดไม่ใช่เป็นแต่พูดเท่านั้น ต้องนิ่งเป็นด้วย คนที่พูดเป็นนั้น ต้องรู้ในสิ่งที่ไม่ควรพูดให้มากกว่าสิ่งที่ควรพูด” 

การบูลลี่ ในปัจจุบันพอสรุปได้ มี 4 ประเภท  

1.การกลั่นแกล้งทางวาจา (Verbal Bullying) คือ การสื่อสาร เขียน เพื่อสื่อความหมายกลั่นแกล้ง เช่น ล้อเล่น, เรียกชื่อ, แสดงความคิดเห็นทางเพศที่ไม่เหมาะสม, เหน็บแนม และขู่ว่าจะทำอันตราย 

2.การกลั่นแกล้งทางสังคม (Social Bullying) คือ วิธีการทำให้เสียหน้า หรือแกล้งให้สูญเสียความสัมพันธ์กับผู้อื่น อย่างตั้งใจ เช่น ขับเพื่อนออกจากกลุ่ม, กระจายข่าวลือให้เสียหาย, กีดกันไม่ให้เป็นเพื่อนกัน, ทำให้เกิดความอับอายในที่สาธารณะ 

3.การกลั่นแกล้งทางกายภาพ (Physical Bullying)  คือ การกลั่นแกล้งที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย และสวัสดิภาพของผู้ถูกกลั่นแกล้ง เช่น การทุบตี ทำร้าย ทำให้สะดุด แย่งสิ่งของ แสดงออกทำท่าทางหยาบคายใส่ 

4.การกลั่นแกล้งทางอินเตอร์เน็ต (Cyberbullying) คือ การใช้เทคโนโลยีเพื่อก่อกวน ข่มขู่ ทำให้ผู้อื่นลำบากใจ  โพสต์ข้อมูลส่วนบุคคล ภาพถ่าย หรือวิดีโอ ที่ออกแบบมาเพื่อทำร้ายหรือทำให้คนอื่นอับอาย 

หากถามว่า มีธรรมะอะไรจะลดการบูลลี่ได้บ้าง? ตอบได้ทันทีว่า “วจีสุจริต ความประพฤติชอบทางวาจา” มี 4 อย่าง คือ 1.การไม่พูดเท็จ 2.การไม่พูดคำหยาบ 3.การไม่พูดส่อเสียด 4.การไม่พูดเพ้อเจ้อ 

ปลามีชีวิตยืนยาวอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยปากเป็นสิ่งสำคัญ  แต่ก็เพราะปากนั่นเอง ปลาจึงต้องติดเบ็ดเสียชีวิตโดยง่าย พระท่านจึงสอนว่า ระวังจะเป็น “ปลาหมอตายเพราะปาก” 

วันมาฆบูชา : คุณค่าแห่งสัมมาวาจา กำลังจะมาถึง โดยปี 2565 นี้ ตรงกับวันที่ 16 ก.พ. ขอชวนเชิญทุกท่านหวนรำลึกถึงสารัตถะแห่งโอวาทปาติโมกข์ที่สำคัญ นอกจากเป็นการประทานหัวใจของพระพุทธศาสนา ยังทรงสั่งสอนหลักสำหรับการเผยแผ่พระศาสนา หรือการใช้ชีวิต ทำงานร่วมกันไว้ด้วย มีหลัก 2 ประการแรกว่า การไม่กล่าวร้าย และ การไม่ทำร้าย  

ไม่กล่าวร้าย ไม่ทำร้าย เป็นนาทีทองการครองตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยกระแสข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จ บิดเบือน หรือยุยง ซึ่งอาจนำไปสู่ความร้าวฉาน ถึงขั้นประหัตประหารกัน หากทุกท่านยึดมั่นอุดมการณ์ที่จะไม่กล่าวร้าย และไม่ทำร้ายใครๆ ไม่ว่าในกาลไหนๆ ตามหลักการของ โอวาทปาติโมกข์ ถ้าท่านได้รับข้อมูลข่าวสารใดๆ ที่อาจกระทบกระเทือนจิตใจ ก่อให้เกิดความโกรธเคือง หรือขุ่นข้องหมองใจ ท่านย่อมสามารถระงับการกระทำที่เกรี้ยวกราด หยาบช้า หรือรุนแรงไว้ได้ ก่อให้เกิดสันติภาพในหมู่คณะได้. 

วันไหนมีคำบูลลี่มากระทบหู ประคองใจให้หนักแน่น หายใจลึกๆ แล้วภาวนาว่า “เราไม่ได้ดีขึ้น หรือแย่ลง เพราะน้ำลายจากปากใคร” 

โบราณจึงมีความงามให้สตรีใส่ต่างหูทองคำ เงิน นาค มิใช่ใส่เพื่อความสวยงาม แต่ท่านคงบ่งชี้ถึงความหนักแน่น “ฟังหู ไว้หู” 

ทุกวันนี้โยมหลายคนก็ใส่ต่างหูทองคำ แต่ก็ไม่แคล้วเอาขยะมาใส่หู… 

……………………………………………..

คอลัมน์ : ลานธรรม

โดย : พระสุธีวชิรปฏิภาณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประธานพระธรรมวิทยากรเครือข่ายธรรมะอารมณ์ดี