เมื่อวันที่ 19 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากสำนักงานเกษตร จ.สมุทรสงคราม ประสานผู้เลี้ยงผึ้งจากจังหวัดต่างๆ เช่น จ.ชุมพร จ.กาญจนบุรี ให้นำผึ้งมาปล่อยในสวนลิ้นจี่รวมกว่า 2,000 ลัง เพื่อช่วยในการผสมเกสรลิ้นจี่ที่กำลังออกดอกเตรียมให้ผลผลิต และวันนี้ผู้เลี้ยงผึ้งบางราย เช่นนายสมศักดิ์ นวลขาว เจ้าของฟาร์มผึ้งทิพย์ จาก จ.ชุมพร ได้มีการเก็บน้ำหวานจากดอกลิ้นจี่โดยใช้ถังสเตนเลส ขนาดความจุ 700 ลิตร สลัดน้ำผึ้งด้วยการใช้มือหมุนตระแกรงให้เกิดแรงเหวี่ยงก็จะได้น้ำผึ้งออกมาจากรัง ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน โดยใน 1 รัง มีคอนเลี้ยงผึ้งประมาณ 7-9 คอน และใน 1 คอนจะได้น้ำผึ้งประมาณ 3-5 ขวด (ขวดขนาด 750 ซีซี.)

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การนำผึ้งมาปล่อยในสวนลิ้นจี่ให้ช่วยผสมเกสรถือเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างผู้เลี้ยงผึ้งกับเจ้าของสวนลิ้นจี่ เนื่องจากผึ้งจะช่วยผสมเกสรลิ้นจี่ให้สมบูรณ์ซึ่งจะทำให้ลิ้นจี่ให้ผลผลิตมากยิ่งขึ้นเพราะเป็นการผสมเกสรแบบธรรมชาติ ขณะเดียวกันผู้เลี้ยงผึ้งก็จะได้น้ำผึ้งจากดอกลิ้นจี่กลับไปจำหน่ายจึงถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

นายวิศิษฏ์ บ่อสารคาม หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมและพัฒนาการผลิต รักษาราชการแทนเกษตร จ.สมุทรสงคราม กล่าวปัจจุบัน จ.สมุทรสงคราม มีพื้นที่ปลูกลิ้นจี่ 5,200 ไร่ ขณะนี้ลิ้นจี่ออกดอกประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ คาดว่าหากดอกลิ้นจี่สมบูรณ์และไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เช่นพายุฝนจนทำให้เกิดความเสียหาย คาดลิ้นจี่ของ จ.สมุทรสงคราม ปีนี้จะให้ผลผลิตออกสู่ตลาดตั้งแต่ปลาย มี.ค. จนถึงสิ้น เม.ย. รวมประมาณ 6,000 ตัน

สำหรับคุณประโยชน์ของน้ำผึ้งนั้นมีมากมาย เช่นช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย, มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ, ช่วยชะลอวัย, ช่วยลดและป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย, ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสมีน้ำมีนวลเป็นธรรมชาติ, ช่วยบำรุงสมอง ช่วยเรื่องความจำ, ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV และช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวหนัง, ช่วยบำรุงเสียงให้ใส ลดอาการเจ็บคอ, ช่วยลดสิวเสี้ยน สิวอุดตันบนใบหน้า นอกจากนี้ยังสามารถนำไปผสมกับเครื่องดื่มต่างๆเช่น นม ชา กาแฟ โยเกิร์ต และน้ำมะนาวได้อีกด้วย