น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นที เปิดเผยว่า เอ็นที ได้ดำเนินธุรกิจมาครบ 1 ปีแล้ว หลังจากได้ควบรวมระหว่าง แคท และทีโอที ซึ่งการดำเนินการในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมามุ่งปรับโครงสร้างองค์กรอย่างต่อเนื่องให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ๆ เช่น ธุรกิจดาวเทียม และมีการยุบรวมสาขาในต่างจังหวัดให้ใช้สำนักงานเดียวกัน เพื่อลดต้นทุนดำเนินการ ฯลฯ โดยในช่วงกลางปี 65 นี้ โครงสร้างทุกอย่างจะเสร็จเรียบร้อยพร้อมเดินหน้าธุรกิจเต็มที่ ล่าสุดได้เปิดตัวโลโก้ใหม่ สื่อถึงการเป็นองค์กรแห่งชาติด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและโทรคมนาคมที่ทำให้คนไทยทุกคน เข้าถึงการเชื่อมต่อที่มีคุณภาพและเติมเต็มทุกความต้องการ

สำหรับการดำเนินงานในปีนี้ เอ็นทีกำหนดเป้าหมายใน 3 ด้าน คือ 1.การทำให้ทุกภาคส่วน ทุกภาคธุรกิจ รวมถึงภาคสังคม สามารถปรับตัวก้าวเข้าสู่โลกดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความพร้อมทางทรัพยากร ด้านโทรคมนาคมและดิจิทัลที่เอ็นทีมีอยู่อย่างสมบูรณ์แบบ ครอบคลุมทั้งทางบก น้ำ และอากาศ จะสามารถผลักดันให้ประเทศก้าวสู่ เน็กซ์ นอร์มัล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  

ส่วนเป้าหมายที่ 2.คือ สร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และโทรคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นบริการอินเทอร์เน็ต ความเร็วสูง บริการคลื่นความถี่ 5จี และบริการด้านดิจิทัลทุกรูปแบบ และเป้าหมายที่ 3 คือ ประสานความร่วมมือในการต่อยอดนวัตกรรมผ่านเทคโนโลยีโครงข่ายที่ครอบคุลม โดยเอ็นที พร้อมจะเป็นหน่วยงานสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการนวัตกรรม เทคโนโลยีและการปฏิบัติการ ในทุกรูปแบบ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ

สำหรับความคืบหน้าการให้บริการ 5จี คลื่น 700 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งประมูลได้มา จำนวน 10 เมกะเฮิรตซ์ ในราคา 34,306 ล้านบาท เมื่อเดือน ก.พ. 63 นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเป็นพันธมิตรกับ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือน ม.ค. 65 หลังจากที่การเจรจาไม่คืบหน้าตั้งแต่เดือน เม.ย. 64 ที่ผ่านมา จนกระทั่งทรูและ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ประกาศควบรวมกัน ซึ่งคาดว่าจะทำให้เป็นปัจจัยเร่งให้ดีลนี้ได้ข้อสรุปเร็วขึ้น โดยมีหลายโมเดลที่กำลังพิจารณา  ทั้งการร่วมมือทำงานร่วมกัน การโอนคลื่นแบบถูกกฎหมาย หรือ แนวทางในการตั้งบริษัทลูกขึ้นมาเพื่อบริหารจัดการคลื่นดังกล่าว ซึ่งเป็นไปได้ทุกทาง

อย่างไรก็ตามในส่วนของเรื่องดาวเทียมไทยคม 4 ที่มีอายุเหลือ 2 ปี และไทยคม 6 ที่เหลืออายุ 8 ปี ซึ่ง เอ็นที ได้รับมอบสิทธิจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) นั้น พร้อมในการบริหาร แต่ในส่วนของไทยคม 4 ที่มีระยะเวลาเพียง 2 ปีนั้นอาจจะสั้นไปในการลงทุนเพิ่ม  ซึ่งการทำตลาดในส่วนการหาลูกค้าในประเทศนั้นไม่มีปัญหา แต่ในส่วนของลูกค้าในต่างประเทศยอมรับว่า อาจจะไม่เชี่ยวชาญ แต่ก็ได้ตั้งหน่วยธุรกิจดาวเทียมขึ้นมาเพื่อทำงาน โดยมี รองกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง เชื่อว่าจะมีความชัดเจนดำเนินงานเร็วๆนี้

น.อ.สมศักดิ์  กล่าวต่อว่า สำหรับผลการดำเนินธุรกิจในปี 64 ที่ผ่านมา​ ในเบื้องต้นคาดว่าจะมีกำไร แต่ตัวเลขต้องรอทางฝ่ายบัญชีสรุปอีกครั้ง ในส่วนของบุคลากรนั้นปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1.7 หมื่นราย ก็จะมีการเปิดโครงการเกษียณก่อนกำหนดอย่างต่อเนื่องทุกปี ที่ผ่านมามีพนักงานสมัครเข้าร่วมโครงการปีละประมาณ 1,000  ราย ซึ่งจำนวนพนักงานที่เหมาะสมในการดำเนินธุรกิจนั้นจากการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาอยู่ที่ประมาณ 10,000 ราย แต่ทั้งนี้ก็ต้องนำมาปรับดูความเหมาะสมอีกครั้ง สำหรับการสรรหากรรมการผู้จัดการ เพื่อมาบริหารองค์กรนั้น ตอนนี้อยู่ในช่วงสรรหา โดยมีผู้สมัครจำนวน 5  ราย กำลังอยู่ในช่วงตรวจสอบคุณสมบัติ คาดว่าจะได้ผู้มาดำรง ตำแหน่งเร็วๆ​ นี้

“เอ็นที เป็นรัฐวิสาหกิจ การดำเนินการจึงต้องเน้นการบริการหน่วยงานภาครัฐเป็นหลัก แต่ลูกค้าเอกชนก็ไม่ทิ้ง แต่การแข่งขันกับผู้ประกอบการเอกชนที่มีงบการตลาดจำนวนมากปีละหลายร้อยล้านบาท อาจจะเป็นเรื่องยาก แต่เอ็นทีมีความได้เปรียบในเรื่องสินทรัพย์และโครงข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ จึงพร้อมจะให้บริการ เพื่อให้ทุกคน ทุกองค์กรสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้ แม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล หรือชายขอบ ขณะเดียวกันก็จะหาพันธมิตรเอกชนมาร่วมทำงาน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มกับโครงข่ายที่มี โดยในปี​ 64 ที่ผ่านมาก็มีพันธมิตรเอกชนเข้ามาร่วมทำโครงการมากกว่า 10 ราย ซึ่งในอนาคตก็จะมีพันธมิตรเอกชนเพิ่มเติมอีกแน่นอน” น.อ.สมศักดิ์  กล่าว