สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงอะซุนซิออง ประเทศปารากวัย เมื่อวัยที่ 11 ธ.ค.ว่าประธานาธิบดีมาริโอ อับโด เบนิเตซ ผู้นำปารากวัย กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับการที่นิการากัวยุติความสัมพันธ์กับไต้หวัน แล้วหวนกลับไปสถาปนาความสัมพันธ์กับรัฐบาลปักกิ่ง ซึ่งหมายถึงการกลับไปยอมรับหลักการ “จีนเดียว” อีกครั้ง ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องภายในของนิการากัว และประเทศเพื่อนบ้านต้องเคารพการตัดสินใจดังกล่าว


ทั้งนี้ นิการากัวเคยยุติความสัมพันธ์กับไต้หวันมาแล้วครั้งหนึ่ง เพื่อไปสถาปนาความสัมพันธ์กับจีน เมื่อปี 2528 ก่อนกลับมาฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัฐบาลไทเปอีกครั้ง เมื่อปี 2533


อย่างไรก็ตาม ในส่วนของปารากวัยนั้น นโยบายต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลไทเป “ยังเหมือนเดิม” ปัจจุบัน ปารากวัยเป็นประเทศเดียวในอเมริกาใต้ ที่ยังคงมีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับไต้หวัน โดยตลอดระยะเวลานานกว่า 6 ทศวรรษที่ผ่านมา ปารากวัยได้รับความสนับสนุนทางการเงินในหลากหลายรูปแบบจากรัฐบาลไทเป ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หรือโครงการส่งเสริมด้านเกษตรกรรม ตลอดจนความช่วยเหลือด้านอุปกรณ์การแพทย์และวัคซีนโควิด-19


ในเวลาเดียวกัน นางซิโอมารา คาสโตร ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของฮอนดูรัส ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศเพียงไม่กี่แห่งในอเมริกากลาง ซึ่งยังคงมีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับไต้หวัน กล่าวว่า สถานะดังกล่าว “ยังคงอยู่” แม้ในช่วงหาเสียง เธอชูนโยบายใกล้ชิดกับจีน แต่เมื่อผ่านพ้นการเลือกตั้ง เมื่อเดือนที่แล้ว ว่าที่ผู้นำคนใหม่กล่าวว่า ฮอนดูรัสจะรักษาความสัมพันธ์กับไต้หวัน “เอาไว้ต่อไปก่อน” เนื่องจาก “ไม่ต้องการให้เกิดการถอยห่างออกจากสหรัฐ”


สำหรับ 14 ประเทศที่ยังให้การรับรองไต้หวัน ได้แก่ กัวเตมาลา ฮอนดูรัส นครรัฐวาติกัน เฮติ ปารากวัย เอสวาตินี ตูวาลู นาอูรู เซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ เซนต์คิตส์และเนวิส เซนต์ลูเชีย เบลีซ สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ และปาเลา.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES