เมื่อวันที่ 14 ก.ค. นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงสถานการณ์การบริหารจัดการของรัฐบาลต่อมาตรการการการป้องกันการเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความโกลาหลของสถานการณ์โควิด-19 ที่ประชาชนต้องเดือดร้อนจากความไร้ประสิทธิภาพและขาดความโปร่งใสของรัฐบาล ได้ปรากฏว่ามีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ มีข่าวหลายข่าว ที่สะท้อนให้เห็นว่าหน่วยงานรัฐต่างๆ ยังเดินหน้าใช้อำนาจในทางที่เป็นภัยคุกคามต่อเสรีภาพในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชนหนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตั้งแต่การแก้ข้อกำหนดควบคุมสถานการณ์โควิดของ ศบค. เรื่องการเสนอข่าว จากเดิมที่ห้ามการเผยแพร่ข่าวสารที่ “ไม่เป็นความจริง” เท่านั้น ก็เอาข้อความดังกล่าวออกจนทำให้ตีความได้ว่าแม้กระทั่ง “ข่าวจริง” บางอย่างก็เป็นความผิดได้เช่นกัน มาจนถึงมติ กสทช. ลงโทษปรับ 5 หมื่นบาทกับสถานีโทรทัศน์ที่รายงานการชุมนุมวิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานรัฐ อ้างมีเนื้อหากระทบต่อความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย ทั้งที่เป็นเพียงการนำเสนอข้อเท็จจริงตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มาจนถึงกรณีตำรวจอาชญากรรมทางเทคโนโลยีบุกจับบุคคลที่แก้ประวัติของนายแพทย์ที่ปรึกษาสถานการณ์โควิดให้กับรัฐบาลในวิกิพีเดีย อ้างว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทและอาจผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทั้งที่ในเว็บไซต์ดังกล่าวสามารถแก้กลับโดยง่าย และผู้คนก็อ่านอย่างมีวิจารณญาณอยู่แล้ว
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า มาจนถึงกรณีองค์การเภสัชกรรมแจ้งความเอาผิดนายแพทย์และนักวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์การจัดซื้อวัคซีน Moderna ว่าเป็นข้อมูลเท็จที่ทำให้เสียหายต่อองค์การ ทั้งที่เรื่องดังกล่าวหากปิดกั้นให้เหลือการสื่อสารได้เพียงฝ่ายเดียวก็ย่อมเสียหายต่อประชาชนได้เช่นกัน และมาจนถึงการปล่อยให้มีกลุ่มคนต่างๆ ตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยไปติดตามคุกคามบุคคลอื่นที่วิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจถึงยังที่อยู่อาศัย แจ้งความดำเนินคดีมาตรา 112 นับร้อยนับพันคนแล้วเอามาทำแผนที่ระบุตำแหน่งเผยแพร่ แสดงถึงความมุ่งหมายที่จะกลั่นแกล้งฝ่ายที่คิดเห็นทางการเมืองต่างจากตนเอง และไปจนถึงการที่ศาลเริ่มกลับมามีแนวทางไม่ให้ประกันตัวผู้ต้องหาคดีมาตรา 112 โดยมีกรณีศาลอาญาตลิ่งชันสั่งไม่ให้ประกันตัวบุคคลที่แชร์โพสต์ในเฟซบุ๊กแม้จะขอประกันตัวมาแล้วถึง 3 ครั้ง โดยที่คดียังอยู่แค่ชั้นการสอบสวนของตำรวจ ทั้งยังเห็นถึงความเสี่ยงว่าอาจนำไปสู่การที่บุคคลดังกล่าวซึ่งยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์อาจติดเชื้อ COVID-19 จากในเรือนจำได้
“ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้กระทั่งในเวลาที่บ้านเมืองเละเทะขนาดนี้จากการใช้อำนาจอย่างไร้ความรับผิดชอบของทั้งรัฐบาลและหน่วยงานรัฐต่างๆ แทนที่พวกท่านจะมีสำนึก หันไปทบทวนความเลวร้ายของตัวเองทั้งหมดที่ผ่านมาแล้วแสดงความรับผิดชอบเสีย กลับยังกระหน่ำซ้ำเติมการกดทับสิทธิเสรีภาพของประชาชน หน้ามืดตามัวหลงคิดว่าปัญหาจะแก้ได้ด้วยการปิดปากคนอื่นแต่ไม่ปรับปรุงตัวเอง” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่า จนถึงตอนนี้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังคิดไม่ได้อีกหรือว่าในความเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นผู้ใช้อำนาจที่ส่งผลกระทบให้คุณให้โทษต่อประชาชนทั้งประเทศ การตอบโต้ข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่จะทำให้เกิดการยอมรับจากผู้ที่เคลือบแคลงสงสัยได้ก็คือการเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริงอย่างซื่อตรง ครอบคลุมทั่วถึง ละเอียดหมดจดไม่หมกเม็ดเท่านั้น การระดมยัดคดี ใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่กลับไม่เคยช่วยอะไร ต่อให้แจ้งความฟ้องร้องกับทุกคนในประเทศนี้ที่ตั้งคำถามต่อพวกท่าน ก็ไม่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นหันกลับมาเชื่อถือพวกท่านแม้แต่คนเดียว และแม้กระทั่งกับคนที่เชื่อถือพวกท่านอยู่ก็ไม่ได้จะทำให้คนเหล่านั้นยังเชื่อถือต่อไปด้วย
“นอกจากนี้การที่หน่วยงานรัฐต่างๆ เริ่มขยับในการคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างพร้อมเพรียงกันเช่นนี้ คนเป็นไปได้ยากหากปราศจากการมอบนโยบายจากศูนย์กลางนั่นคือรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในการเดินหน้าเล่นงานผู้ที่เห็นต่างหรือที่ถูกมองเป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง หรือตั้งใจปล่อยปละละเลยให้เกิดการเล่นงานเช่นนั้น ท่านลากประชาชนทั้งประเทศมาจมอยู่ในก้นบึ้งของหายนะ ทำพวกเขาเจ็บป่วยล้มตายมาตั้งเท่าไรแล้ว แค่ให้พวกเขาได้พูดได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจบ้างก็ยังยอมรับไม่ได้ ท่านยังไร้ยางอายไม่พอหรืออย่างไร พึงสังวรณ์ไว้ด้วยว่าวันหนึ่งที่ท่านร่วงจากอำนาจ จะไม่มีใครฟังคำของท่านอีกเลย” นายรังสิมันต์ กล่าว