เมื่อวันที่ 14 ก.ค.เวลา 11.20 น. ที่รัฐสภา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 เปิดเผยว่า ขณะนี้ กมธ.ฯ พิจารณาแล้ว 12 กระทรวง 9 กองทุน คิดเป็น ร้อยละ 45.7 วงเงินทั้งสิ้น 7.2 แสนล้านบาทเศษ โดยเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมาเป็นการพิจารณาส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งพิจารณา 4 หน่วยงาน คือ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก กรมสุขภาพจิต และกองทุนภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย ภาพรวมการพิจารณาของกระทรวงสาธารณสุข ส่วนมากสอบถามเกี่ยวกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้
นายเรืองไกร กล่าวว่า ทั้งนี้มี กมธ. บางท่านสอบถามว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแนวทางควบคุมการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้ประชาชนติดเชื้อจำนวนมากในขณะนี้อย่างไร มีการบริหารจัดการวัคซีน และชุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นที่ต้องการของประชาชนอย่างมากในขณะนี้อย่างไร โดยปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีเกี่ยวข้อง ชี้แจงว่า วิธีการในการควบคุมโรคช่วงที่ประเทศไทยยังมีผู้ติดเชื้อไม่มาก เมื่อหน่วยงานทราบว่ามีการติดเชื้อที่ใดจะไปสอบสวนโรค โดยแยกผู้ติดเชื้อออกมา ต่อมาเมื่อผู้ติดเชื้อมากขึ้น จึงคิดวิธีบับเบิลแอนด์ซีลขึ้นมา ซึ่งเมื่อมีการระบาดก็จะปิดสถานที่นั้นเฉพาะจุด แต่ปัจจุบันเมื่อผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ทำให้การสอบสวนเป็นไปได้ยาก จึงใช้วิธีการฉีดวัคซีนในการควบคุมโรค ส่วนเรื่องชุดตรวจหาเชื้อหน่วยงานชี้แจงว่า ได้อนุญาตให้ประชาชนได้ใช้การตรวจแบบแอนติเจน เทสต์ คิต Antigen Test Kit (ATK) ซึ่งเป็นชุดตรวจหาเชื้อเบื้องต้น ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนนำเข้าชุดตรวจแบบ ATK แล้ว จำนวน 1.4 ล้านชิ้น พร้อมจำหน่ายในร้านขายยาที่มีเภสัชกรรมควบคุม และในสัปดาห์นี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการจัดซื้อเพื่อแจกจ่ายให้ประชาชน และในสัปดาห์หน้าบริษัทเอกชนแจ้งว่าจะสามารถนำเข้าได้อีกประมาณ 10 ล้านชิ้น
นายเรืองไกร กล่าวถึง มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในส่วนของ กมธ.งบประมาณ ว่า กมธ.มีความระมัดระวัง ซึ่งการประชุมวันนี้มีมาตรการที่เข้มขึ้น โดยให้ผู้ชี้แจงนั่งห้องข้างๆ แล้วชี้แจงด้วยการใช้ระบบซูมเข้ามา ไม่ให้เข้าห้อง กมธ. และตั้งแต่วันที่15 ก.ค.เป็นต้นไป จะให้ผู้ชี้แจงอยู่ที่หน่วยงานไม่ต้องเข้ามาที่รัฐสภา โดยให้ใช้ระบบซูม เพราะ กมธ.เกือบทั้งหมดห่วงว่า ถ้างาน กมธ.งบฯ มีปัญหามีผู้ติดเชื้อจะยิ่งเป็นปัญหามากยิ่งขึ้น
เมื่อถามถึง กรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะ กมธ.งบประมาณฯ เรียกร้องให้เปิดเผยสัญญาการสั่งจอง และจัดซื้อวัคซีนแอสตราเซเนกา นายเรืองไกร กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวมีการอ้างสัญญาต่างประเทศมาเทียบกับไทย ซึ่งเราต้องดูกฎหมายของไทยด้วย ทั้งนี้ การเปิดเผยข้อมูลช่องทางปกติตนเห็นว่าไม่น่ามีปัญหา ในส่วนของ กมธ.งบประมาณฯ ก็อยากเห็นสัญญา แต่ต้องดูว่าข้อมูลตรงกันหรือไม่ ตนเห็นด้วย และสนับสนุนการตรวจสอบสัญญา เพราะเป็นเงินแผ่นดิน เป็นภาษีประชาชน ก็ต้องเปิดเผยให้ทราบ ซึ่งต้องรอผลการพิจารณาของ กมธ.งบประมาณฯ ว่าเป็นอย่างไร