สำนักข่าวเอพีรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ว่า นายกรัฐมนตรีอิสมาอิล ซาบรี ยาค็อบ ของมาเลเซีย กล่าวในระหว่างการเดินทางเยือนอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันพุธ แสดงความวิตกเกี่ยวกับ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ในเมียนมา หลังจากกองทัพก่อรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐพลเรือน เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ซึ่งทำให้ชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮีนจา หลบหนีออกนอกเมียนมามากขึ้น

I

มีชาวโรฮีนจากว่า 200,000 คน เข้าไปตั้งรกรากใหม่ในมาเลเซีย ในระยะหลายปีที่ผ่านมา นายยาค็อบ ซึ่งกล่าวภายหลังการพบหารือกับประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซีย ที่ทำเนียบ ในกรุงจาการ์ตา ว่า หากชาวโรฮีนจาสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขในเมียนมา จำนวนชาวโรฮีนจาที่จะลี้ภัยมายังมาเลเซีย ก็จะลดลงอย่างแน่นอน


ชาวโรฮีนจากว่า 700,000 คน หลบหนีออกจากเมียนมา นับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2560 เมื่อกองทัพเมียนมาเปิดฉากปฏิบัติการกวาดล้าง กลุ่มติดอาวุธชาวโรฮีนจาในรัฐยะไข่ ทางภาคตะวันตกของประเทศ เพื่อตอบโต้การโจมตีฐานทหารและตำรวจเมียนมา ปฏิบัติการด้านความมั่นคง ทำให้ทหารเมียนมาถูกกล่าวหาว่าละเมิดสุทธิมนุษยชนในพื้นที่หลายรูปแบบ รวมถึงสังหารพลเรือน ข่มขืน และเผาทำลายบ้านเรือน

อินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งประชากรส่วนใหญ่ของทั้ง 2 ประเทศเป็นชาวมุสลิม ได้แสดงความวิตกเกี่ยวกับชะตากรรมของชาวโรฮีนจา หลังจากกองทัพเมียนมาก่อรัฐประหารในเดือน ก.พ.

การพบหารือเมื่อวันพุธ ผู้นำของ 2 ประเทศยังได้ตกลงกัน ในการเปิดเขตแดน และสร้างระเบียงการท่องเที่ยว เพื่อช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่การระบาดของโควิด-19 เริ่มซาลงทั้ง 2 ประเทศ โดยแผนการจะเริ่มจากสานต่อเที่ยวบินโดยสาร ระหว่างกรุงกัวลาลัมเปอร์กับกรุงจาการ์ตา และกัวลาลัมเปอร์กับเกาะบาหลี.

เครดิตภาพ – AP
เครดิตคลิป – CNA