มุ่งมั่นทางงานดนตรีสุด ๆ สำหรับ แซมมี่ (SAMMii) หรือ ภัคธีมา ชิลเลอร์ ลูกสาวคนเก่ง ของนักแสดงรุ่นใหญ่ เกริก ชิลเลอร์ ที่หลังได้เป็นศิลปินเต็มตัวในค่ายยักษ์ “ยูนิเวอร์ซัล มิวสิค (ประเทศไทย)” เธอก็มีผลงานต่อเนื่อง และล่าสุดก็ได้ปล่อยเพลงความหมายลึกซึ้ง เอาใจคนช้ำรัก อย่าง “พลาสเตอร์ (Plaster)” ที่แซมมี่ได้ลงมือเขียนเนื้อเพลงเอง เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกที่เปรียบตัวเองเป็นเสมือนพลาสเตอร์ คอยรักษาแผลให้คน ๆ หนึ่ง ในวันที่เขาถูกทำร้ายจิตใจ แต่เรารักษาแผลให้เขาไปเท่าไหร่ สุดท้ายเขาก็เลือกคนที่ทำให้เขาได้รับบาดแผลนี้อยู่ดี! โดยมาพร้อมเนื้อหาที่เจ็บลึกโดนใจหลายคน ลงตัวกับน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ หาตัวจับยาก วันนี้ บันเทิงเดลินิวส์” จึงไม่พลาดไปพูดคุยกับศิลปินสาว ทั้งแรงบันดาลใจของการทำงานเพลงครั้งนี้ การเติบโตในวงการเพลง และเรื่องราวน่ารัก ๆ กับ “พ่อเกริก” ที่เป็นแฟนคลับอันดับ 1 พร้อมเปิดใจเรื่องรักผ่านเสียงดนตรีด้วย

Q : พูดถึงผลงานล่าสุด “พลาสเตอร์” แรงบันดาลใจของเพลงนี้มาจากไหน?

แซมมี่ : เพลงนี้แซมได้แรงบันดาลใจจากชื่อเพลย์ลิสต์ของช่างแต่งหน้าคนนึงค่ะ ชื่อว่า ‘พลาสเตอร์’ และเขาเขียนเอาไว้ว่า อยากให้เพลงพวกนี้บรรเทาจิตใจของเขา แซมเองก็อยากรู้ด้วยว่าคำว่า ‘พลาสเตอร์’ เอามาร้องเป็นเพลงมันจะเพราะมั้ย เลยเอาคำว่า ‘พลาสเตอร์’ มาเขียนเป็นเพลง และมันก็ดันตรงกับชีวิตตัวเอง ในพาร์ทดนตรี ที่เลือกทำเพลงนี้เป็นแนวป๊อปร็อก มีกลิ่นยุค 90 เพราะมันเกิดจากความชอบล้วน ๆ เลย จริง ๆ แล้วอยากทำเพลงป๊อปร็อกมาสักพักนึงแล้ว และน่าจะอยู่ทางนี้อีกสักใหญ่เลย อย่างเพลงก่อนหน้านี้ที่แซมปล่อยออกมา ตัวดนตรีมันก็ค่อนข้างเบากว่าเพลง ‘พลาสเตอร์’ ที่จะมีความป๊อปร็อกขึ้นมาค่ะ

Q : เห็นว่ามีส่วนร่วมในการทำเพลงนี้เยอะมาก พอได้มาทำงานเบื้องหลัง มีความยากหรือท้าทายยังไงบ้าง?

แซมมี่ : จริง ๆ แล้วแซมชอบเขียนเพลง อยากให้ผลงานที่ออกไป เป็นผลงานของแซมให้มากที่สุด เป็นตัวเราที่สุด แซมเลยเขียนเพลงนี้เองทั้งหมด และได้ร่วมออกแบบเอ็มวีด้วย ซึ่งแซมอยากให้ตัวเอ็มวีค่อนข้างไปทางเดียวกับดนตรี เป็นแนวป๊อปร็อก ยุค 90 นิด ๆ คนอาจได้เจอมุมกล้องแปลก ๆ ในเอ็มวี ซึ่งแซมว่ามันก็เจ๋งดี ต้องชอบคุณทางกองถ่ายและโปรดักชั่น ที่ทำให้มันเป็นได้แบบตรงใจแซมมากค่ะ ตอนที่แซมเห็นคือถูกใจมาก ชอบ ซื้อเลย (หัวเราะ)

Q : เห็นในเอ็มวีสอดแทรกความเป็น LGBTQ ด้วย ทำไมเลือกเรื่องราวนี้มาเสนอในเอ็มวีเพลง “พลาสเตอร์”?

แซมมี่ : ใช่ค่ะ แต่จริง ๆ แล้วมันจะเป็นแบบไหนก็ได้ จะตีความว่าเป็นเพื่อนสนิทกันก็ได้นะ หรือจะตีความว่าเป็นเพื่อนไม่จริงก็ได้ (ยิ้ม) แซมไม่มายด์ว่าในดนตรีหรือในเอ็มวีของแซม ต้องนำเสนอรูปแบบความรักแบบไหน จะเกิดกับผู้หญิงกับผู้หญิงก็ได้ จะเกิดกับผู้ชายกับผู้ชายก็ได้ และตัวแซมเองก็อยู่ในคอมมูนิตี้ด้วยค่ะ เลยไม่ได้อะไรกับเรื่องนี้ อยากเสนอในแบบนี้ก็ทำเลยค่ะ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนสาวสองคนในเอ็มวี แซมเปิดกว้างให้ทุกคนได้ตีความได้ตามแต่ที่คิดเลยค่ะ

Q : มีซีนไหนในเอ็มวี “พลาสเตอร์” ที่รู้สึกประทับใจเป็นพิเศษบ้าง?

แซมมี่ : น่าจะเป็นตอนที่เพื่อนผู้หญิงสองคนปิดพลาสเตอร์ให้กันค่ะ เหมือนแปะแผลให้นางเอกอีกคนที่ชอบแกะแผล แล้วเลือดก็ไหล ชอบมาก เอาไปตั้งวอลเปเปอร์โทรศัพท์ด้วย (ยิ้ม) ซึ่งแซมอยากให้แฟน ๆ ได้ดูเมสเสจในในเอ็มวีนะ ว่าเนื้อเรื่องมันดำเนินไปแบบไหน มันตีความง่าย ว่าทำไมนางเอกคนนึงถึงมีผ้าพันแผลที่ข้อมือ ถ้าดูจะเข้าใจเลยค่ะ

Q : ได้ร่วมงานกับ “แทน ลิปตา” ในฐานะโปรดิวเซอร์ ได้เรียนรู้อะไรจากเขาบ้าง?

แซมมี่ : พี่แทนเป็นคนที่เก่งมาก ๆ ค่ะ นี่เป็นครั้งแรกที่แซมได้ร่วมงานกับเขา คือเพลงนี้แซมเขียนในรูปแบบตรงไปตรงมา ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากพี่แทน เพราะแซมได้นั่งฟังพี่แทนก่อนเริ่มเขียนเพลงนี้ ซึ่งพี่แทนได้แนะนำในเรื่องเขียนเพลง ปกติแซมจะไม่ได้นั่งฟังใครก่อนเขียนเพลงเลย พี่แทนก็มาช่วยตบ ๆ คำพูดให้ สิ่งที่แซมได้เรียนรู้จากพี่แทนก็คือ อย่าไปคิดเยอะ (หัวเราะ) อย่าไปคิดมาก รู้สึกยังไง ก็ให้พูดแบบตรงไปตรงมาค่ะ

Q : ในเพลง “พลาสเตอร์” คิดว่าเราเติบโตจากเพลงแรก ๆ ยังไงบ้าง มีอะไรที่คิดว่าเราพัฒนาอย่างเห็นได้ชัดมั้ย?

แซมมี่ : ในแง่ของการทำงานแซมกล้าที่จะเป็นตัวเองมากขึ้นค่ะ จริง ๆ แล้วสไตล์แซมค่อนข้างเปลี่ยนด้วยแหละ มันเติบโตขึ้นสไตล์ก็เริ่มเปลี่ยน แนวดนตรีแซมก็กล้าเขียนในแบบนี้มากขึ้น จากตอนแรกที่ไม่อาจยังไม่กล้าเท่าไหร่ เราเป็นคนพูดไม่เก่ง ก่อนหน้านี้แซมทำงานเพลงกับตัวเองมาโดยตลอด ไม่ได้ทำงานกับคนอื่นเลย พอมันเข้ามาตรงนี้ ก็ต้องปรับตัวในเรื่องของการพูดมากขึ้น สื่อสารเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ก็เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานกับคนอื่น จะพวกเรื่องอะไรแบบนี้นะคะที่ได้พัฒนามากขึ้น

Q : อยากให้คนที่ได้ฟังเพลงเราได้อะไรกลับออกไปมากที่สุด?

แซมมี่ : เป็นความรู้สึกอะไรสักอย่าง แซมรู้สึกว่าเพลงมันมีหน้าที่ของมัน อาจทำให้เรารู้สึกในบรรยากาศสักแบบนึง หรือมุมมองสักแบบ ซึ่งอยากให้ดนตรีของแซมที่เป็นป็อบร็อคยุค 90 มันให้อะไรกับคนฟังสักอย่าง เราอาจเดาไม่ได้ว่าเขารู้สึกยังไง คือแซมชอบทำเพลงแล้วทำให้คนรู้สึก

Q : หากตอนนี้มีใครสักคนที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็น “พลาสเตอร์” อยากให้กำลังใจอะไรกับเขา?

แซมมี่ : อย่างแรกเลยค่ะ สู้ ๆ (หัวเราะ) เราให้ไปโดยที่ไม่ต้องหวังผล ให้ไปด้วยความตั้งใจของเรา ด้วยเหตุผลของเราที่อยากให้เขาตั้งแต่แรก ผลมันจะเป็นยังไงอย่าไปกลัว ไม่ต้องสนใจผล อาจเจ็บนิดนึง แต่แซมคิดว่ามันก็น่าจะให้อะไรกับเราได้ในการเป็นพลาสเตอร์ อย่างน้อยก็ทำให้คนที่เรารักบรรเทาความเจ็บปวด แค่นั้นเราก็น่าจะแฮปปี้มาก ๆ แล้วนะคะ (ยิ้ม)

Q : พอมาถึงวันนี้ “แซมมี่” อยากนิยามดนตรีของตัวเอง เป็นแนวไหน?

แซมมี่ : ที่ผ่านมาแซมไม่ค่อยกล้าให้คำนิยามในดนตรีของแซมเท่าไหร่ เพราะว่าแค่ใส่อะไรก็ได้ที่ชอบ (ยิ้ม) แต่จริง ๆ แล้วน่าจะเป็นป๊อปร็อก มีกลิ่นยุค 90 นะคะ ที่แซมหลงเสน่ห์ความเป็นป๊อปร็อก มันน่าจะมาจากประสบการณ์การฟังเพลง ซึ่งช่วงนี้แซมฟังที่เป็นป๊อปร็อก ยุค 90 บ่อย อีกอย่างแซมชอบเขียนเพลงถ้าไม่เป็นแนวฟุ้ง ๆ ก็จะเป็นแนวโฟลคไปเลยค่ะ

Q : มีศิลปินในดวงใจ ที่อยากร่วมงานด้วยบ้างมั้ย?

แซมมี่ : แซมชอบ ‘บีบาดูบี (Beabaadoobee)’ มากเลยค่ะ เพราะชอบสไตล์การเขียนเพลงของเขา ที่รู้สึกอะไรก็เขียนอกมา เรื่องใกล้ ๆ ตัว ไม่ได้คิดเยอะ ส่วนถ้าเป็นศิลปินไทย มีหลายคนมากที่อยากร่วมงานด้วย อย่าง ‘โพลีแคท’ เพราะแซมชอบความเป็น 90 มีความเก๋า ๆ หน่อย แซมชอบความเชย มันมีเสน่ห์ หรืออาจฉีกแนวไปร่วมงานกับ ‘ไททศมิตร’ เลยก็ได้ (หัวเราะ) ถ้าได้ร่วมงานกันมันน่าจะเจ๋งดี เพราะดนตรีของแซมและของเขามันคนละแบบกันเลย

Q : ส่วนตัว “แซมมี่” คิดว่าคำว่า “ศิลปิน” มีความหมายยังไง?

แซมมี่ : ศิลปินคือผู้ที่สร้างความแปลกใหม่ สร้างความรู้สึกใหม่ ๆ สร้างอะไรก็ตามที่คนไม่ยังไม่เคยได้รู้สึกค่ะ

Q : คิดว่าดนตรีสามารถขับเคลื่อนสังคมหรือโลกใบนี้ได้ในแง่มุมไหนได้บ้าง?

แซมมี่ : มีค่ะ แซมว่าดนตรีในหลายยุคสมัยมันสามารถ Shape (สร้าง) คนให้กลายเป็นแบบนั้นแบบนี้เยอะมาก ไม่ว่าเป็นเรื่องการแต่งตัว รวมถึงงานศิลปะที่ตัวเองเสพ และเพลงต่อ ๆ ไปที่เราจะได้ฟัง ดนตรีเป็นอีกหนึ่งส่วนใหญ่มาก ๆ ที่อยู่บนโลกใบนี้ และสามารถเปลี่ยนสังคมได้ทุกยุคสมัยค่ะ

Q : ดนตรีให้อะไรกับ “แซมมี่” มากที่สุด?

แซมมี่ : น่าจะเป็นในเรื่องของมุมมอง เรื่องของสไตล์ด้วย สิ่งที่เราชอบ เลือกที่จะเสพ บางทีดนตรีก็เบส ออน ความชอบพวกนั้นค่ะ

Q : มาถึงวันนี้ “คุณพ่อเกริก” ว่ายังไงบ้าง กับผลงานของลูกสาวบ้าง?

แซมมี่ : พ่อก็แฮปปี้นะคะ เขาเป็นบุคคลที่ซัพพอร์ตดนตรีเรามากที่สุดเลย มากกว่าแฟนคลับอีก เขาคือเป็นนัมเบอร์วัน ก็น่ารักดี แซมก็ดีใจที่มีคนที่บ้านคอยสนับสนุนมาก ๆ ค่ะ

Q : “คุณพ่อเกริก” เคยแนะนำด้านดนตรี หรือการวางตัวในวงการบ้างมั้ย?

แซมมี่ : ไม่เลยค่ะ (ยิ้ม) เขาเป็นผู้ฟัง และรอดูมากกว่าแซมจะไปในทางไหน เขาชอบในผลงานของแซม เวลาแซมไปนั่งทำอะไร แม้แต่วาดรูปเล็ก ๆ เขาก็จะมาแอบดูว่าแซมจะปล่อยอะไรลงในโซเชียลมีเดีย (ยิ้ม) แซมไม่ให้คุณพ่อดูก่อน ให้รู้พร้อมทุกคนค่ะ

Q : รางวัลของศิลปิน สำหรับ “แซมมี่” คืออะไร?

แซมมี่ : คือการที่มีใครสักคนเห็นคุณค่าของผลงาน เอาจริง ๆ ไม่พูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้เลยนะ แซมว่าทุกผลงานมันต้องการคนซัพพอร์ตมาก สำหรับแซมอาจเป็นแค่คน ๆ เดียวก็ได้ ก็ยังดีกว่าไม่มีคนซัพพอร์ตเลย อาจเป็นเพื่อน อาจเป็นคนใกล้ตัว อันนั้นคือรางวัลสำหรับเราแล้วค่ะ

Q : เวลาเหนื่อยท้อ หรือต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าดนตรีที่เราทำมันใช่ อะไรเป็นกำลังใจสำคัญให้เรายังอยากเป็นศิลปินต่อและยืนหยัดในแนวทางเพลงของเรา?

แซมมี่ : กำลังใจของแซมก็คือตัวแซมเองนะ และคนที่ชอบในผลงานของเรา คนที่ติดตามเรา เขารอที่จะได้เห็น ได้เสพผลงานของเรา นี่แหละเป็นกำลังใจของแซมให้แซมทำต่อ ส่วนคอมเมนต์แฟน ๆ ที่ทำให้รู้สึกเติมพลัง ส่วนใหญ่จะเป็นประมาณว่า ‘เพลงของพี่มันช่วยหนู มันอยู่กับหนูในวันที่หนูไม่มีใครเลย (ยิ้ม)’ บางทีก็มีแบบ ‘เสียงของพี่ กล่อมหนูนอนได้ จากที่ไม่ได้เป็นคนที่นอนหลับ’ อะไรที่มันเปลี่ยนนิสัยบางอย่างของเขาได้ ก็ดีใจค่ะ

Q : หากนิยาม “ความรัก” ของ “แซมมี่” เป็นเหมือนดนตรี คิดว่า ณ ช่วงเวลานี้เป็นดนตรีแนวไหน?

แซมมี่ : สำหรับแซมเป็นแนว ‘ซิกาเร็ตส์ อาฟเตอร์ เซ็กส์ (Cigarettes After Sex)’ ค่ะ มันจะเป็นแนวเนิ้บ ๆ เลี่ยน ๆ หน่อย ดูโรแมนติกหน่อย (ยิ้ม) แซมเป็นประเภทแบบนั้นค่ะ

Q : ท้ายสุดฝากถึงแฟน ๆ หน่อย?

แซมมี่ : สามารถติดตามผลงานของแซมได้แล้วบนสตรีมมิ่งต่าง ๆ นะคะ และขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ซัพพอร์ตกันมาโดยตลอด ไว้ครั้งหน้าเราเจอกันในงานดนตรีสักที่นึงนะคะ (ยิ้ม)

เชื่อว่า “แซมมี่” จะเป็นอีกศิลปินคุณภาพ ที่สามารถสร้างสีสันใหม่ ๆ ให้วงการเพลงไทยได้อย่างแน่นอน