สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ว่าคณะกรรมาธิการการสื่อสารกลางของสหรัฐ (เอฟซีซี) ออกแถลงการณ์ว่า ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้มีการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการของ ไชนา เทเลคอม บริษัทด้านการสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของจีน ซึ่งดำเนินงานในสหรัฐมานานกว่า 20 ปี ในชื่อ “ไชนา เทเลคอม อเมริกา” โดยบริษัทต้องยุติกิจการทั้งหมดภายในระยะเวลา 60 วัน นับตั้งแต่วันประกาศ คือวันอังคารที่ 26 ต.ค. ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ


ทั้งนี้ รายงานของเอฟซีซีระบุว่า ไชนา เทเลคอม “มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง” ต่อสหรัฐ เนื่องจากเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ จึงมีความเป็นไปได้สูงมาก ที่ไชนา เทเลคอม จะอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลปักกิ่ง และต้องปฏิบัติตามคำสั่งของอีกฝ่ายด้วย โดยอาจรวมถึงการโยกย้ายถ่ายโอนข้อมูลของผู้ใช้งานจากเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐ โดยปัจจุบัน ไชนา เทเลคอม มีสำนักงานในอเมริกา อยู่ที่เมืองเฮิร์นดอน ในรัฐเวอร์จิเนีย


ด้านไชนา เทเลคอม ออกแถลงการณ์ “ผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง” ต่อมติของเอฟซีซี และจะแสวงหาช่องทางที่เป็นไปได้ในทางกฎหมาย เพื่อให้บริการลูกค้าในสหรัฐต่อไป ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงวอชิงตันยังปฏิเสธให้ความเห็นอย่างเป็นทางการ


อนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อเดือน เม.ย.ปีที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เผยแพร่รายงานว่า ไชนา เทเลคอม “สอดแนม” และ “เก็บข้อมูล” การใช้งานของชาวอเมริกันเชื้อสายจีน 4 ล้านคน นักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเดินทางเยือนสหรัฐเฉลี่ยปีละ 2 ล้านคน นักศึกษาชาวจีนในสหรัฐซึ่งมีประมาณ 300,000 คน และนักธุรกิจในสหรัฐอีกประมาณ 1,500 คน


นอกจากนี้ ในปีนั้น เอฟซีซีเคยมีคำเตือนแล้วครั้งหนึ่ง ไปยังไชนา เทเลคอม และบริษัทด้านการสื่อสารโทรคมนาคมขอจีนอีกสามแห่ง คือ “ไชนา ยูนิคอม” “แปซิฟิก เน็ตเวิร์กส์” และ “คอมเน็ต” โดยให้เหตุผลว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศเช่นกัน.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES