สุดท้ายก็จบที่มาตรการล็อคดาวน์พื้นที่เสี่ยง กทม.และปริมณฑล 6 จังหวัด เป็นเวลา 14 วัน และขอความร่วมมือไม่ออกนอกเคหสถานตั้งแต่ 22.00-04.00 น. ขอให้เวิร์คฟอร์มโฮม 100% รวมทั้งสกัดกั้นการเดินทาง โดยตั้งเป้าลดจำนวนผู้ป่วยให้ได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ ตามมาด้วยแอ๊คชั่นของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่เล่นใหญ่ประกาศไม่รับเงินเดือน 3 เดือน เพื่อใช้ประโยชน์ในการแก้โควิด-19 และรัฐมนตรีหลายรายที่ประกาศไม่รับเงินเดือนเช่นเดียวกัน
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ Delta ที่เรียกได้ว่าหนักหน่วงรุนแรงมากกว่าการระบาดครั้งไหนๆ จนทำเอาตัวเลขสถิติพุ่งทะยานไต่ระดับสร้างตัวเลขนิวไฮกันแบบวันต่อวัน ทั้งยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวันซึ่งทะลักขึ้นไปเฉียดหมื่นราย ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจวนเจียนเข้าใกล้หลักร้อยไปทุกวัน ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล เตียงไม่พอ ผู้ป่วยหลายรายต้องรอเตียงจนตายในบ้าน หรือโรงพยาบาลหลายแห่งต้องขยายเตียงรองรับผู้ป่วยออกมาด้านนอกอาคาร หรือตามลานจอดรถ จนเป็นภาพที่น่าเวทนา
ขณะที่ ศบค. ก็มีการคาดการณว่าในสัปดาห์หน้า ผู้ติดเชื้อรายใหม่อาจสูงไปถึง 10,000 รายต่อวัน ตามอัตราความเร็วของการแพร่ระบาดของ โควิด-19 สายพันธุ์ Delta จนเกิดคำถามตัวโตๆขึ้นว่า หากสถานการณ์เป็นอย่างนั้น…เราจะอยู่กันอย่างไร!
เพราะสถานการณ์ปัจจุบันทั้งการควบคุมการแพร่ระบาดของ “รัฐบาลบิ๊กตู่” ที่เรียกได้ว่าล้มเหลวแบบเบ็ดเสร็จ ตั้งแต่ต้นน้ำกลางน้ำจนถึงปลายน้ำ ไม่มีวี่แววที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ในเร็ววัน เกิดคลัสเตอร์ใหม่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซ้ำร้ายการบริหารจัดการวัคซีนยังเป็นไปแบบไม่สอดคล้องกับระดับความรุนแรงของปัญหา
ไล่ตั้งแต่การจัดซื้อจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ที่หลายฝ่ายเรียกร้องมาโดยตลอด การทำงานของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับไม่ได้ดั่งใจประชาชน ทั้งความล่าช้าในการทำสัญญาซื้อวัคซีนชนิด mRNA ทั้ง Pfizer และ moderna ที่ต้องให้ประชาชนด่ากันจนปากเปียกปากแฉะ ถึงจะยอมขยับตัวออกแอ๊คชั่น หรือเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีน Sinovac ซึ่งมีข้อมูลชี้ชัดแล้วว่าประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 สายพันธุ์ Delta ได้น้อยกว่าวัคซีนชนิดอื่น และมีตัวอย่างจากชิลีให้เห็นแล้วว่าจะต้องมีการฉีดวัคซีนเข็มสาม ให้กับผู้ที่รับวัคซีน Sinovac ไปแล้ว แต่ “รัฐบาลบิ๊กตู่” กลับยังดื้อดึงดันทุรังซื้อวัคซีน Sinovac เพิ่มเติมอีกจำนวน 10.9 ล้านโดส ภายใต้กรอบวงเงินกว่า 6,111.412 ล้านบาท
ส่วนการฉีดวัคซีน ก็ยังคงเป็นไปแบบตามมีตามเกิด ทั้งจำนวนวัคซีนที่เข้ามาในประเทศแบบกระปิดกระปอย การจัดคิวฉีดวัคซีนที่เลื่อนแล้วเลื่อนอีก จนประชาชนส่วนใหญ่ต้องพึ่งตัวเอง ยอมควักเงินในกระเป๋าจองฉีดวัคซีนตัวเลือก แต่ก็ยังมีจำนวนไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชนที่แห่จองกันจนเกลี้ยงในพริบตาเดียว
เมื่อสถานการณ์เข้าขั้นวิกฤติและมีแนวโน้มจะหนักหน่วงรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จึงถือได้ว่าทุกวินาทีคือความเป็นความตายของประชาชนในประเทศ
ดังนั้นมาตรการล็อคดาวน์ในครั้งนี้ต้องทำให้จริงจัง “เจ็บแต่จบ” และต้องมีมาตรการที่พร้อมรองรับทั้งในด้านการควบคุมการแพร่ระบาด และการเยียวยาผลกระทบอย่างครอบคลุม ไม่ใช่แบบ “เจ็บแต่ไม่จบ” เหมือนที่ผ่านมา หรือการล็อคดาวน์แบบปล่อยปละละเลย เหมือนการล็อคดาวน์แคมป์คนงานก่อสร้างที่หลักสี่ ซึ่งเป็นต้นตอเชื้อสาพันธุ์ Delta ที่มีคนงานเล็ดลอดออกมาได้จนทำให้เกิดการแพร่ระบาดลุกลามกระจายไปทั่วประเทศอย่างในปัจจุบัน
หากจะบอกว่ามาตรการล็อคดาวน์ครั้งนี้เป็นการวาง “เดิมพันครั้งสุดท้าย” ในทางการเมืองของ “บิ๊กตู่” และรัฐบาลชุดนี้ ก็คงไม่ผิดนัก เพราะถ้ามาตรการล็อคดาวน์ในครั้งนี้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้สำเร็จ ก็จะเป็นเหมือน “แสงสว่างปลายอุโมงค์” ที่ทำให้ประเทศไทยพอมีความหวังที่จะรอดพ้นวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ไปได้ และจะเกิดผลพลอยได้กับ “บิ๊กตู่” และองคาพยพ ที่จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นและแรงศรัทธาจากประชาชนกลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งอาจจะทำให้ “บิ๊กตู่” เปรียบเหมือนได้รับการ “ชุบตัว” กลับมาเดินเชิดหน้าชูคอบนเส้นทาง “ผู้นำประเทศ” ได้อีกครั้ง
แต่หากมาตรการล็อคดาวน์ครั้งนี้ล้มเหลว ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมือง เนื่องจากปัจจุบัน “รัฐบาลบิ๊กตู่” ได้ประสบกับ “วิกฤติศรัทธา” อย่างหนัก ด้วยความเชื่อมั่นและแรงศรัทธาที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลปีกหัวดิ่งเหว จนถึงขั้นติดลบ ประชาชนจากทุกสาขาอาชีพ พร้อมใจกันแสดงความสามัคคีส่งเสียงเรียกร้องให้ “บิ๊กตู่” ลาออก กันแบบดังกระหึ่มไปทั่วทุกหัวระแหง โลกโซเชียลฯสรรหาคำผรุสวาทมาวิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อนเดือดดาล ทำให้แฮชแท็ก “ประยุทธ์ออกไป” กลับมาติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับหนึ่งอีกครั้ง
เมื่อประชาชนได้ให้โอกาสมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ “บิ๊กตู่” พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าฝีไม้ลายมือที่มีไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างอยู่หมัด และไม่ใช่ตัวเลือกให้เป็นที่พึ่งที่ประชาชนพอจะฝากผีฝากไข้ได้ บวกกับหลายสิ่งอย่างสะท้อนความไร้ประสิทธิภาพในการทำงานของรัฐบาลอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ประชาชนถึงจุด “เอือมระอา” กันแบบสุดๆ
ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ “บิ๊กตู่” จะต้องกลับไปพิจารณาตัวเองเสียที ว่าการแสดงความรับผิดชอบในการแก้ปัญหาโควิด-19 ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าของรัฐบาล ควรจะมีอะไรมากกว่าการที่ “บิ๊กตู่”ประกาศไม่รับเงินเดือน 3 เดือนหรือไม่?
เพราะด้วยสภาวการณ์ของประเทศในตอนนี้ ที่เรียกได้ว่าทุกสิ่งอย่างที่ควรจะเป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนถูกสั่นคลอนไปหมด ล้มตามกันไปแบบ “ทฤษฎีโดมิโน” แม้แต่ฝ่ายนิติบัญญัติที่เกิดปัญหา ส.ส. กลัวโควิด-19 จนไม่เข้าร่วมประชุมสภาฯ จากสุ่มเสี่ยงเกิดปรากฏการณ์สภาฯล่ม จนแทบจะเรียกได้ว่าทำงานกันไม่คุ้มภาษีประชาชน นอกจากนั้นยังดราม่าร้อน จากการชงข้อเสนอฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ให้กับ ส.ส. และ ส.ว.รวมถึงบุคลากรรัฐสภา จนถูกมองว่าเป็นการแทรกคิวประชาชนตาดำๆที่รอฉีดวัคซีนเข็มแรก หรือกลุ่มบุคลาการทางการแพทย์ที่ถือเป็นด่านหน้าในการควบคุมโควิด-19 กลับยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเข็มสาม แต่บรรดาผู้ทรงเกียรติในสภากลับ “กระเหี้ยนกระหือรือ” จะฉีดเข็มสาม
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลก็ยังเกิดเหตุการณ์ “เกาเหลา” กันอย่างต่อเนื่อง จากการโยน “เผือกร้อน” เรื่องการบริหารจัดการวัคซีนกันไปมาระหว่าง พรรคพลังประชารัฐ และ พรรคภูมิใจไทย ที่ปล่อยลูกพรรคตัวจี๊ดออกมาเล่นสงครามน้ำลายกันแบบไม่แคร์สายตาประชาชน และถูกมองว่าเป็นการถ่างรอยร้าวของพรรคร่วมรัฐบาล จนอาจจะไม่สามารถกลับมาประสานกันได้อีกหากเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้นหลังจากนี้
ตัว “บิ๊กตู่” เอง ก็ขยันเปิดรับทัวร์อย่างต่อเนื่อง อย่างล่าสุด “ทัวร์ลง” จากการแก้ปัญหาจากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก ย่านกิ่งแก้ว ที่กินเวลานานกว่า 30 ชม. ปล่อยควันพิษพวยพุ่งปกคลุมพื้นที่ใกล้เคียงจนต้องอพยพประชาชนกันสับสนอลหม่าน “บิ๊กตู่”ออกแอ๊คชั่นผิดคิว สั่งจะให้ทำปฏิบัติการฝนหลวง เพื่อลดฝุ่นควัน ทั้งที่หลายฝ่ายกังวลเรื่องสารพิษจากสารเคมีปนเปื้อน และสุดท้ายก็ต้องสั่งยกเลิกคำสั่งตัวเองไปในที่สุด…ทำเอาประชาชนได้แต่อุทานเป็นเสียงเดียวกันว่า…อิหยังวะ!
ขณะที่กลุ่มการเมืองต่างๆ ก็เปิดตัวรุกไล่ “รัฐบาลบิ๊กตู่” เพิ่มมากขึ้น เป็นเงาตามตัว อย่างล่าสุดกรณีกลุ่ม “หมอไม่ทน” ที่ชวนบุคลากรการแพทย์แต่งดำ ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องวัคซีนชนิด mRNA หรือ พรรคไทยสร้างไทย นำโดย “หญิงหน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่ออกมาล่ารายชื่อประชาชนเพื่อฟ้องรัฐบาลที่บริหารจัดการการแก้ปัญหาโควิด-19 ล้มเหลว
เมื่อบริบทการเมืองมาถึงขั้นนี้ก็ทำเอาหลายฝ่ายพากันแทงหวยว่าโอกาสที่การเมืองอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในเร็วๆนี้มีความเป็นไปได้สูง เพราะสถานการณ์ในขณะนี้ “บิ๊กตู่” อาจทนเสียงเรียกร้องให้ไขก๊อกลาออกจากตำแหน่งไม่ได้ และแม้จะเกิดภาพการไล่เด็ดหัวแกนนำม็อบ อย่างล่าสุดกรณี จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มไทยไม่ทน ติดคุก แต่ก็ไม่สามารถกำจัดความรู้สึกเอือมระอาของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลไปได้
สุดท้ายแล้ว “บิ๊กตู่” ต้องตระหนักว่านี่คือเฮือกสุดท้ายของรัฐบาลแล้ว หากยังดันทุรังนำพาประเทศอยู่ในสภาพแบบนี้ต่อไป ประเทศไทยจะเดินหน้าสู่หายนะครั้งใหญ่ และคงเป็นการลงจากหลังเสือแบบไม่ค่อยฉลาดเลยนะจ๊ะ.