เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ เดินทางมาหน้าสำนักงาน กกต.เพื่อจุดเทียน อ่านกลอน และนำกล้วยน้ำว้า มามอบให้กับ กกต. เรียกร้องให้รีบนำคำร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติ พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย หรือหมอเกศ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เข้าสู่การพิจารณาของ กกต.โดยเร็ว  

นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า สัปดาห์ที่แล้วมีการให้ข่าวว่ามีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุม กกต.แต่ไม่มีเวลาพิจารณาและเลื่อนมาพิจารณาในการประชุมสัปดาห์นี้ ซึ่งตนได้ข้อมูลมา ไม่รู้เท็จจริงอย่างไรว่า แท้จริงแล้ว มีสายโทรศัพท์ที่แปลกประหลาดโทรฯมาไม่ใช่จะเคลียร์เรื่องหมอเกศ  แต่ระบุว่า ลำดับที่ 11 และ 12 ยังไม่เซ็นใบลาออกให้ ดังนั้น  กกต.อย่าเพิ่งพิจารณา จึงทำให้ไม่มั่นใจว่าแท้จริงแล้วการทำงานของ กกต.รับใช้ประชาชน หรือรับใช้คนที่อยู่เบื้องหลังภารกิจ สว. ครั้งนี้

“วันนี้จึงต้องนำกล้วยมาให้ เพื่อให้มากินกล้วย  เพราะถ้าคุณไปคิดหาวิธีการก็ดี หรือเขาเอากล้วยมาให้คุณก็ดี มันอาจจะผิดต่อกฎหมาย  เพราะกล้วยในความหมายที่รู้ๆ กันก็คือเงินใต้โต๊ะ ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ที่มันไม่ชอบด้วยกฎหมายมันเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่น  จึงอยากให้เอากล้วยนี้ไปวางไว้ในวงประชุมของ กกต. จะได้ระลึกไว้ว่าต่อไปนี้เรื่องหมอเกศ หรือเรื่อง สว.มีคนคอยจับตาพวกเราอยู่  เพราะขนาดมีคนโทรฯเข้ามา ทนายอั๋น บุรีรัมย์ ยังรู้เลย ดังนั้นจะทำอะไรก็ต้องตรงไปตรงมา และกล้วยนี้มันศักดิ์สิทธิ์ คิดอะไรไม่ออกก็ไหว้ขอพร อย่าไปคิดในการที่จะไปหากล้วยจากทางที่อื่น” นายภัทรพงศ์ กล่าว

นายภัทรพงศ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของหมอเกศ  มั่นใจว่าอยู่ได้อีกไม่เกิน 1-2 เดือน และจากการที่ได้พูดคุยกับเพื่อนหมอที่ทำเสริมความงามต่างก็ต้องการให้หมอเกศกลับไปประกอบอาชีพนี้  ซึ่งตนอยากแนะนำให้มีการขยายสาขาไปเปิดคลินิกแถวพัทยา ภูเก็ต จะได้สื่อสารกับลูกค้าชาวต่างชาติได้ เผื่อจะได้ช่วยอัพสกิลภาษาอังกฤษของหมอเกศได้อีกด้วย

นายภัทรพงศ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีที่ก่อนหน้านี้ ตนได้ร้องให้ตรวจสอบพรรคภูมิใจไทยรับเงินบริจาคจากนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ และห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่น โดยไม่ชอบ และกรณีขอให้ กกต.ดำเนินการเอาผิดนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ร้องเท็จเรื่องหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าไปถึงไหน หากมีมติยุติเรื่องก็ขอให้มีหนังสือแจ้งมติมาเหมือนกับที่แจ้งตน กรณีร้องให้สอบคุณสมบัติ สว.รายหนึ่ง เนื่องจากเคยเป็นที่ปรึกษาของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ตนจะได้นำไปเป็นหลักฐานยื่นฟ้อง  กกต.ต่อศาลอาญาคดีทุจริต ดังนั้นก็ขอให้  กกต.กล้าทำหนังสือแจ้งมาที่ตนด้วย.