กรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีคำสั่งรับสำนวนคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เป็นคดีพิเศษที่ 119/2567 ใน 2 ฐานความผิดเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพัน อันประกอบด้วย ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ หลังมีการส่งต่อสำนวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ก่อนมีการเตรียมออกคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการการทำงานร่วมกัน เพื่อจะได้สรุปสำนวนคดีนำส่งต่อพนักงานอัยการคดีพิเศษ ทันกรอบระยะเวลาการฝากขัง 18 ผู้ต้องหาภายในผัดแรกนั้น
DSI รับไม้ต่อตร.ปคบ. สำนวนคดีดิไอคอนฯ 30 ลัง เอกสารสอบปากคำ 81,000 แผ่น
ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 119/2567 กรณีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างรอเอกสารรายงานเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของบรรดา 18 ผู้ต้องหาจากทางธนาคาร ซึ่งหากดีเอสไอได้รับรายงานธุรกรรมดังกล่าวแล้ว จะได้นำมาตรวจสอบว่าใครมีการทำธุรกรรมอย่างไรกันบ้าง เช่น บุคคลใดโอนเงินให้บุคคลใด และมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร ส่วนประเด็นเรื่องเส้นทางการเงินจำนวน 2.5 ล้านบาท ที่ถูกโอนจากบัญชีธนาคารของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล ไปยังบัญชีธนาคารของมารดานักการเมืองท่านหนึ่ง ก็อยู่ระหว่างตรวจสอบเช่นเดียวกัน เพราะต้องตรวจสอบที่มาที่ไป เนื่องจากคดีการฟอกเงินทางอาญานั้น จำเป็นที่จะต้องดูขาเข้าและขาออกถึงจะโยงกันได้ อย่างไรก็ตาม แม้พูดกันตามปกติว่าโอนไปไหนอย่างไร แต่กระบวนการสอบสวนเพื่อให้มีการดำเนินคดีจะต้องมีขาเข้าและขาออกที่ชัดเจนถึงจะเชื่อมโยงกันได้
เมื่อถามว่าหากมีการชี้แจงว่าเงิน 2.5 ล้านบาทดังกล่าวคือเงินโอนทำบุญระหว่างกัน ทางผู้ถูกกล่าวหาจะต้องมีการนำใบอนุโมทนามาใช้ยืนยันการทำธุรกรรมกับเจ้าหน้าที่หรือไม่ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ยืนยันว่าใช่ เพราะต้องเอาหลักฐานมาแสดงให้เจ้าหน้าที่ว่าเงินที่นำออกไปนำไปใช้ทำอะไร อย่างไร ที่ไหน และเพื่อวัตถุประสงค์ใด ดังนั้น แม้จะให้การอย่างไรก็สามารถให้การได้ แต่จะอยู่ที่คณะพนักงานสอบสวนที่จะต้องพิจารณาว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ หากเชื่อ ก็ถือว่าเป็นการทำธุรกรรมสุจริต แต่ถ้าไม่เชื่อก็จะต้องพิจารณาดำเนินคดีตามขั้นตอน ทั้งนี้ รายงานข้อมูลเส้นทางการเงินจากธนาคารจะถือเป็นจำนวนเงินที่มันมีความถูกต้อง 100% เราจะไม่ใช้เส้นเงินที่เกิดจากสื่อในโซเชียลมีเดีย เพราะมันใช้งานจริงไม่ได้ และในการสอบสวน เจ้าหน้าที่มีความจำเป็นต้องใช้หลักฐานต้นทางจากธนาคารเท่านั้น คาดว่าประมาณ 2 สัปดาห์จะทราบความคืบหน้า
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยอีกว่า สำหรับห้วงปีที่ดีเอสไอจะมีการตรวจสอบย้อนหลังเกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินของบรรดา 18 บอสนั้น เบื้องต้นจะไล่ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561-2563 แต่ต้องยอมรับอุปสรรคปัญหาเล็กน้อยว่าในปีดังกล่าวนี้อาจไม่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามา แต่อย่างไรทางธนาคารคงจะเร่งรัดดำเนินการให้ดีเอสไออย่างแน่นอน อีกทั้งดีเอสไอก็ได้มีการขอเส้นทางการเงินย้อนหลังไปตั้งแต่มีการเปิดบริษัทฯ อีกด้วย ทั้งนี้ ในการชี้แจงการทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ หากผู้ต้องหายังอยู่ระหว่างการคุมขังภายในเรือนจำ/ทัณฑสถาน ดีเอสไอก็จะต้องเข้าไปสอบสวน และไม่เฉพาะบรรดาบอสเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบุคคลอื่น ๆ รอบข้างที่มีการรับโอนเงิน รับทรัพย์สินจากกลุ่มดิไอคอนฯ ดีเอสไอจะต้องตรวจสอบทุกคน ดังนั้น จึงยังไม่ได้มีการออกหมายเรียกให้ใครมาชี้แจงข้อมูล
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยต่อว่า หากดีเอสไอได้รับข้อมูลเส้นทางการเงินจากธนาคารและตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว จะสามารถใช้ในการสอบปากคำได้ว่า “เงินจำนวนนี้คือเงินอะไร” , “คุณได้เงินจำนวนนี้มาได้อย่างไรและได้มาอย่างไร“ , ”คุณมีนิติสัมพันธ์กันอย่างไร“ เป็นต้น เพื่อใช้พิจารณาต่อว่าส่วนนี้จะเป็นการฟอกเงินทางอาญาหรือไม่ ดีเอสไอจึงมีความจำเป็นต้องไล่หลักฐานตรงนี้ พร้อมยืนยันว่าการดำเนินการนี้คือเรื่องเร่งด่วนที่ดีเอสไอและธนาคารเข้าใจตรงกัน .