นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า ได้เดินหน้ารักษาเสถียรภาพระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง โดยปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ขึ้นลงเพื่อให้ราคาขายปลีกสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล แม้ว่าราคาน้ำมันตลาดโลกยังผันผวนต่อเนื่อง โดยกรณีดีเซลยังตรึงราคาไม่เกินลิตรละ 33 บาทแบบไม่มีกำหนด จากปัจจุบันมีการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ อยู่ลิตรละ 1.72 บาท แต่ถ้าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 86 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล อาจทบทวนการขยับราคาขายปลีก เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ได้ เนื่องจากยังมีภาระการชำระหนี้เงินกู้ยืมเงินต้นและดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน ที่วงเงินรวม 105,333 ล้านบาท

ทั้งนี้ปัจจุบันสถานการณ์ราคาน้ำมันในช่วงรอบปีที่ผ่านมา ตลาดน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 81.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 102.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้อยกว่าปีก่อน 10.89 ดอลลาร์สหรัฐ และเบนซินอยู่ที่ 95.12 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้อยกว่าปีก่อน 4.48 ดอลลาร์สหรัฐ และกองทุนน้ำมันฯ ยังต้องเข้าไปดูแลราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ที่ยังตรึงราคา 423 บาทต่อถัง (ขนาด 15 กิโลกรัม) เพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชน

“ตอนนี้ราคาดีเซลยัง 33 บาทต่อไป ซึ่งไม่ได้กำหนดว่าจะถึงเมื่อไร โดยใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ มาดูแล โดยไม่ต้องเข้าครม. เพราะเป็นหน้าที่ที่ สกนช.บริหารได้เอง แต่ถ้าราคาน้ำมันดิบทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐก็ต้องมาทบทวนโครงสร้างราคากันอีกครั้ง เพราะเรายังมีหนี้ที่ต้องทยอยจ่ายคืนเริ่มเดือน พ.ย. นี้ งวดแรกประมาณ 500 ล้านบาท และทยอยเพิ่มขึ้นทุกเดือนตามวงเงินที่กู้แต่ละงวด มีกำหนดแผนชำระหนี้เสร็จในปี 71”

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลเข้าประมาณ 7,000-9,000 ล้านบาทต่อเดือน ส่งผลให้ประมาณการฐานะกองทุนจากวันที่ 28 ก.ค. 67 ที่เคยติดลบ 111,663 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 64,066 ล้านบาท และบัญชีแอลพีจี ติดลบ 47,597 ล้านบาท เป็นติดลบเหลือ 99,087 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 51,643 ล้านบาท บัญชีแอลพีจี 47,444 ล้านบาท ณ วันที่ 29 ก.ย. 67

อย่างไรก็ตาม ภารกิจสำคัญที่ต้องดำเนินการต่อในปีงบประมาณ 2568 เดินหน้าการชำระหนี้เงินกู้ยืมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน เริ่มชำระเงินต้นในเดือน พ.ย. 67 ประมาณ 139 ล้านบาท และเพิ่มการผ่อนชำระหนี้เงินต้นขึ้นต่อเนื่อง ในแต่ละเดือนตามวงเงินกู้ยืม ซึ่งจำนวนนี้ยังไม่รวมดอกเบี้ยเงินกู้ยืมอีกประมาณเดือนละ 250-300 ล้านบาท โดยจะชำระหนี้เงินกู้เสร็จสิ้นในเดือน ก.ย. 71, การติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลก ที่ยังคงมีความผันผวนซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องเรียกเก็บเงินไว้ในช่วงที่ยังมีภาระหนี้เงินกู้ยืมเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน, จัดทำแผนรองรับวิกฤติการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ปี 68-72 เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี และดำเนินการสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือน ธ.ค. 67