ภาพรวมที่ผมสังเกตได้คือ ผู้คนตื่นตัวกับเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น โดยมีปัจจัยที่สำคัญ 2 ด้าน

1. อิทธิพลจากคนรุ่นใหม่ ที่เป็นคน Gen S (Gen Sustainability) เป็น Global Citizen เขารู้ว่าคนในรุ่นของเขาจะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกเดือดมากที่สุด พวกเขาต้องรีบปรับตัว เปลี่ยนแปลง และเรียกร้องให้รัฐบาลปรับเปลี่ยนนโยบายให้ส่งเสริมเรื่องความยั่งยืนอย่างจริงจัง ถึงแม้เขาจะต้องเสียสละความสะดวกสบาย และมีค่าครองชีพที่แพงขึ้นบ้าง ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ

2. อิทธิพลจากนโยบายใหม่ ๆ ของภาครัฐ และข้อตกลง สนธิสัญญาต่าง ๆ ระหว่างประเทศ เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น และหลายเรื่องได้เริ่มดำเนินการแล้ว และก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ มากมาย

3. ทั้งวิถีชีวิตของชาวยุโรปรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป และนโยบายของรัฐที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น ทำให้เกิดเทรนด์ความยั่งยืนใหม่ ๆ ที่นักท่องเที่ยวจะได้พบเจอ ระหว่างการท่องเที่ยวยุโรป ดังนี้

4. โรงแรมที่พักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มีระบบประหยัดพลังงานต่าง ๆ แสงสว่างจะรู้สึกมืดลง มีเท่าที่จำเป็น มีการประหยัดนํ้าต่าง ๆ สบู่ แชมพู เป็นแบบ Refill ลดอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น จะได้ไม่สร้างขยะ ถุงที่เคยเป็นพลาสติกจะเปลี่ยนเป็นกระดาษ หรือวัสดุรีไซเคิล เดี๋ยวนี้บางที่ไม่มีขวดนํ้าเตรียมให้ในห้องต้องเอาภาชนะมาเติมเองที่ล็อบบี้ อาหารเช้าจะเตรียมไว้พอดี เพื่อลด Food Waste และมักจะมีแหล่งที่มาจากชุมชนใกล้ ๆ ลองเช็กตรา Green Key หรือ Earth Check ประกอบการตัดสินใจ

5. การเดินทางคาร์บอนตํ่า รถ รถราง รถไฟ และเรือสาธารณะ ในเมืองจะเป็นระบบไฟฟ้า เราจะเห็นผู้คนใช้รถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น เห็นสเกตบอร์ดไฟฟ้าส่วนตัวในการเดินทาง สถานที่สาธารณะจะมีจักรยานไฟฟ้าให้เช่าใช้ตามเวลา และคืนได้ตามจุดต่าง ๆ ที่จัดเตรียมไว้ทั่วเมือง สะดวกและส่งเสริมให้คนเดินทางด้วยวิถีคาร์บอนตํ่า

6. ร้านค้าไม่แจกถุงพลาสติก ทุกคนรู้ดีว่าต้องเตรียมถุงส่วนตัวไปเอง ถ้าไม่พอสามารถซื้อถุงของร้านได้ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นถุงกระดาษ หรือวัสดุที่ย่อยสลายได้ง่ายเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ในสถานที่ต่าง ๆ มีจุดเติมนํ้าสะอาดบริการฟรี ผ่านเครื่องกดที่ดูสะอาด ถึงแม้หลายประเทศมีมาตรฐานนํ้าก๊อกที่สะอาดดื่มได้อยู่แล้ว เราแค่เตรียมกระบอกนํ้าส่วนตัว จะประหยัดและลดการใช้ขวดนํ้าพลาสติกได้มาก

7. สำหรับนักช้อปรักษ์โลก จะเห็นร้านสินค้ามือสองมากขึ้น รวมถึงจะมีสินค้า Designer Brand ที่นำวัสดุเหลือทิ้ง
มาทำเป็นสินค้าใหม่
กำลังเป็นที่นิยม ตัวอย่างเช่น กระเป๋าแบรนด์ดังที่ใช้วัสดุเหลือทิ้งจากรถบรรทุก มาออกแบบให้เป็น
กระเป๋าที่ทันสมัย แต่ละใบจะไม่เหมือนกันเลยและมีร่องรอยผ่านการใช้งานมาแล้ว และมีแค่ใบเดียวในโลกไม่เหมือนใคร สินค้า Reuse Recycle เหล่านี้กำลังเป็นที่นิยมในยุโรป

8. ร้านอาหารที่ทำอาหารท้องถิ่น สดจากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร ร้านอาหารยั่งยืน จะมีเมนูเด็ดที่มีเรื่องราว มีความสดใหม่จาก
ฟาร์มใกล้ ๆ ร้าน อาหารจะเป็นออร์แกนิกมากขึ้น และจะมีนวัตกรรมวีแกนที่มาแทนเนื้อสัตว์อีกด้วย

9. ถ้าเรามีเวลาเพียงพอ จะมีทัวร์วัฒนธรรม ที่พาชม Art & Craft ของชุมชน และมีโอกาสทำ Workshop กับชาวบ้าน ทำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นด้วยตัวเองอีกด้วย

สำหรับนักท่องเที่ยว เมืองใหญ่ ๆ ต้องเดินมากขึ้น การออกแบบถนนให้มีต้นไม้ร่มรื่น มีทางจักรยานเพิ่มถนนคนเดิน
ลดขนาดถนนสำหรับรถยนต์ ทำให้รถติดมาก ๆ สำหรับคนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัว และรถทัวร์ ซึ่งในอนาคตรถทัวร์จะถูกจำกัดไม่ให้
เข้าใกล้สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ไม่ให้จอดรอนาน ทำให้กรุ๊ปทัวร์ต้องลำบาก

Soft Power ของยุโรป ยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น สังเกตจากคนรอเข้าสถานที่ต่าง ๆ นานมาก ต้องจองคิวล่วงหน้า

10. นักท่องเที่ยวที่มากขึ้น ย่อมดึงดูดเหล่ามิจฉาชีพ พวกนี้ทำงานเป็นทีม คอยฉกกระเป๋า ปลดซิป ขโมยเงินนักท่องเที่ยว เจอกันรายวัน ทุกที่ ทุกเวลา กรุ๊ปทัวร์ไหนไม่โดนถือว่าโชคดี ถ้าชาวยุโรปจัดการกับปัญหามิจฉาชีพในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญไม่ได้ ก็จะทำให้เกิดการท่องเที่ยวที่ไม่ยั่งยืน

สำหรับเพื่อน ๆ ที่เตรียมตัวไปยุโรป ลองศึกษาเทรนด์ความยั่งยืนเหล่านี้ไว้ด้วยนะครับ และทั้ง 10 ข้อนี้กำลังเกิดขึ้นที่กรุงเทพมหานครของเราเช่นกัน เตรียมปรับตัวกันให้ดี.