สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ว่าย้อนกลับไปยังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อปี 2559 นางฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนของพรรคเดโมแครต ได้รับคะแนนเลือกตั้งจากประชาชน 65.8 ล้านเสียง ส่วนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนของพรรครีพับลิกัน ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งจากประชาชน 62.9 ล้านเสียง


อย่างไรก็ตาม ผู้ชนะในการเลือกตั้งไม่ใช่คลินตัน แต่เป็นทรัมป์ เนื่องจากเจ้าตัวสามารถทำได้ตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญของสหรัฐระบุไว้ นั่นคือ การรวบรวมจำนวนคณะผู้เลือกตั้งให้ได้อย่างน้อย 270 จากทั้งหมด 538 เสียง โดยทรัมป์รวบรวมคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งได้จาก 30 รัฐ และเขต 2 ของรัฐเมน คิดเป็น 306 เสียง ขณะที่คลินตันรวบรวมคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งได้ใน 20 รัฐ และกรุงวอชิงตัน คิดเป็น 232 เสียง


ระบบดังกล่าวเป็นไปตามที่ระบุอยู่ในรัฐธรรมนูญสหรัฐ ฉบับปี 2330 ว่าด้วยการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งจะเกิดขึ้นเพียงรอบเดียว แต่ไม่ใช่การเลือกตั้งโดยตรงแบบเต็มร้อย เนื่องจากคณะบิดาผู้ก่อตั้งประเทศเชื่อมั่นว่า วิธีนี้จะสามารถ “ประนีประนอม” ระหว่างการเลือกตั้งที่มาจากคะแนนเสียงของประชาชน กับการเลือกตั้งผ่านสมาชิกสภาคองเกรส


ทั้งนี้ ชื่อของคณะผู้เลือกตั้งทั้ง 538 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐและผู้นำพรรค ไม่ได้ปรากฏอยู่บนบัตรลงคะแนน แต่ละรัฐมีจำนวนคณะผู้เลือกตั้งเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 438 คน ซึ่งกำหนดตามสัดส่วนประชาร และวุฒิสมาชิก 100 คน มาจากรัฐละสองคน ไม่ว่ารัฐนั้นจะมีจำนวนประชากรเท่าใด


อนึ่ง การแข่งขันระหว่างทรัมป์กับคลินตัน ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ชนะการเลือกตั้งได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนน้อยกว่าผู้แพ้ โดยครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2367 สมัยประธานาธิบดี จอห์น ควินซี อดัมส์ ผู้นำคนที่ 6


หลังผ่านพ้นการลงคะแนนในวันที่ 5 พ.ย. คณะผู้เลือกตั้งมีกำหนดประชุมร่วมกัน ตามเมืองเอกของแต่ละรัฐ ในวันที่ 17 ธ.ค. เพื่อออกเสียงเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ซึ่งแน่นอนว่า คณะผู้เลือกตั้งจะใช้สิทธิเลือกผู้สมัครตามผลคะแนนที่มาจากประชาชน และสภาคองเกรสมีกำหนดประชุมร่วมกัน ในวันที่ 6 ม.ค. 2568 เพื่อรับรองผลการเลือกตั้ง และประกาศชื่อผู้ชนะอย่างเป็นทางการ.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES