เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ ต.ไพรบึง อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ ว่า มีกลุ่มที่ตั้งตนเป็นลัทธิประหลาด อยู่ในพื้นที่อำเภอปรางค์กู่ ได้พยายามใช้วิธีการในการล่อลวงให้คนผู้หลงเชื่อ นำเงินไปลงทุน และหลงเชื่อด้วยความเต็มใจ นอกจากนั้น ยังมีพฤติกรรม คำพูด และบทสวดที่ดูประหลาด เข้าขั้นลามก  ทำให้ครอบครัวของผู้ที่เป็นสมาชิกในลัทธิประหลาดนี้ ทนไม่ไหว ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรปรางค์กู่  เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการในเรื่องนี้

ต่อมา ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตำบลไพรบึง อำเภอไพรบึง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงในเรื่องนี้กับ ลูกชายของสมาชิกที่อยู่ในลัทธิประหลาด พร้อมทั้งให้ดูข้อความแชต ที่มีลักษณะคำพูดเชิงลามกในการขาย และคลิปเสียงเชิงลามก

โดยนายพุฒิเมธ เล่าว่า  หลังจากที่แม่เข้าไปปฏิบัติธรรมที่สถานที่ดังกล่าว พฤติกรรมเริ่มเปลี่ยนเชื่อในศรัทธาของตัวเอง และเจ้าของลัทธิเป็นอย่างมาก  ซึ่งจริงๆ เจ้าสำนัก หรือเจ้าของลัทธิ ในอดีต คือ พระ ก  เจ้าอาวาสที่พักสงฆ์ ซึ่งโด่งดังเมื่อหลายปีก่อนจากพฤติกรรมแปลกๆ  หลังจากนั้นจึงถูกเจ้าหน้าที่จับสึก ดำเนินการปิดที่พักสงฆ์ และดำเนินคดีตามกฎหมาย

แต่ปรากฏว่า ตอนนี้ได้กลับมาตั้งลัทธิประหลาดอีกครั้ง โดยใช้พื้นที่ส่วนบุคคลของเจ้าตัว ปิดกั้นอาณาเขตชัดเจน คนนอกไม่สามารถเข้าไปได้นอกจากสมาชิก ซึ่งในตอนนี้มีกลุ่มลูกศิษย์และสมาชิกประมาณ 30-40 คน และหนึ่งในนั้นมีแม่ของตนรวมอยู่ด้วย

“ก่อนที่ผมจะเข้าแจ้งความ เนื่องจากสังเกตพฤติกรรมการใช้เงินของแม่เปลี่ยนไป และมีการชวนญาติพี่น้องเข้าไปร่วมลงทุน ทั้งที่อยู่ในสถานที่ที่มีการปฏิบัติธรรม และไม่รู้เหตุใด ถึงต้องมีการลงทุน  เมื่อผมพยายามสอบถามกับแม่ทำให้ทราบว่า เป็นการลงทุนที่เรียกว่า คริปโทเคอร์เรนซี  และบอกว่าเป็นเงินไซเบอร์ อีกทั้งยังบอกเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนเงิน 1,000 บาท ได้ทองถึง 30,000 บาท ซึ่งผมก็พยายามห้ามแต่ก็ไม่เป็นผล โดยแม่ของผมอ้างว่าเจ้าของสำนักบอกให้มาหาคนลงทุน อ้างเรื่องของผลตอบแทน ซึ่งแม่ของตนหลงเชื่อ จนขนาดให้ผมไปถ่ายโฉนดที่ดินให้ แต่ผมรู้สึกผิดสังเกตจึงไม่ทำตามคำขอ ซึ่งที่ผ่านมาแม่ของผมได้เสียเงินเป็นแสนบาท ยังไม่มีการได้คืนเลย แต่กลับพยายามหาเงินไปลงทุนเพิ่ม ผมจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความ” นายพุฒิเมธ กล่าว

ขณะที่ลูกชายของหนึ่งในสมาชิกลัทธิประหลาดนี้ เช่นกัน  กล่าวว่า  แม่กลับมาอยู่บ้านได้ประมาณ 1 เดือน หลังจากอดีตที่พักสงฆ์ได้ถูกสั่งปิด  ก่อนที่จะแอบนำโฉนดที่นา จำนวน 5 ไร่ ไปขายเป็นจำนวน 1,300,000 บาท แต่ปรากฏว่ากลับนำเงินไปลงทุนให้กับลัทธินี้หมด  ขณะที่ก่อนหน้านี้ ในปี 2564 ได้ขายสวนยางพารา จำนวน 9 ไร่  ในราคา  600,000 บาท นำเงินแบ่งให้พ่อของตน เป็นจำนวนเงิน 200,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 400,000 บาท  แม่ของตนอ้างว่า จะนำไปใช้ในบั้นปลายชีวิต ก่อนกลับเข้าที่ลัทธิเหมือนเดิม นอกจากนี้ แม่ของตนยังได้ชักชวนป้าอีก 2 คนไปร่วมลงทุน  รวมกันเป็นเงินอีก 500,000 บาท ซึ่งจากเรื่องราวและพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ตนรู้สึกเป็นห่วงและกังวลใจกับแม่ของตนเป็นอย่างมาก ว่าจะถูกหลอกลวงหรือไม่ ซึ่งตนอยากให้ใครก็ได้ช่วยกันจัดการในเรื่องนี้ก่อนที่จะเสียทุกอย่างไป เพราะทรัพย์สินทุกอย่างเป็นของแม่หมด และหวั่นว่าจะไม่เหลือทรัพย์สินอะไรเลย แม้กระทั่งที่นอน

ต่อมาผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ บ้านกอกหวาน หมู่ตำบลโพธิ์ศรี อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ  ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของลัทธิประหลาดแห่งนี้ ตั้งอยู่บนพื้นที่ส่วนบุคคลกลางทุ่งนา มีการทำอาณาพื้นที่ในการสร้างสถานที่ชัดเจน  มีหลังคาสีรุ้ง และการแต่งกายเป็นชุดสีรุ้ง ทำให้ชาวบ้านที่พบเห็นเรียกว่า ลัทธิสีรุ้ง ซึ่งคนนอกไม่สามารถเข้าไปในบริเวณพื้นที่ได้ คนนอกที่ต้องการพบกับผู้ที่อยู่ภายในต้องทำการติดต่อผ่านโทรศัพท์มือถือ และคนที่อยู่ข้างในลัทธิต้องขออนุญาตเจ้าของลัทธิ เพื่อออกมาพบกับผู้มาติดต่อขอพบ หรือแม้กระทั่งการออกไปข้างนอก ก็ต้องขออนุญาตเช่นเดียวกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อไปว่า ญาติของทางสมาชิกลัทธิประหลาด ได้ส่งข้อมูลไม่ว่าจะเป็น แชตนำเสนอซื้อขาย ลงทุนออนไลน์ ที่มีข้อความอนาจาร ส่อทางเพศ  และในคลิปเสียงจะมีการพูดในเชิงลามกอนาจารและล่อแหลม พร้อมทั้งการทำธุรกิจด้วย