เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายอิทธิเดช ธเนศวัฒนะ ตัวแทนผู้เสียหายชาวต่างชาตินำเอกสารบิลเงินสด การสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ ในเครือ บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด รวมไปถึงรูปภาพร้านค้า ซึ่งมีการนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปจำหน่ายในต่างประเทศ และรูปภาพผู้เสียหายซึ่งถ่ายคู่กับ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ “บอสพอล” มอบให้พ.ต.ท.ปริญญา ปาละ รองผู้กำกับการ (สอบสวน) กองกำกับการ 1 บก.ปคบ. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มผู้บริหารบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด

นายอิทธิเดช เปิดเผยว่า ในวันนี้ตัวเองเดินทางมาในฐานะตัวแทนผู้เสียหายคนไทยและชาวต่างชาติในต่างประเทศ รวมกว่า 10 ประเทศ ประกอบด้วย จีน ฮ่องกง มาเก๊า อิตาลี เยอรมัน แคนาดา เอสโตเนีย และ ลักเซมเบิร์ก โดยเป็นผู้เสียหายกว่า 40 คน แบ่งเป็นเอเชีย 20 คน และ ยุโรป 20 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มผู้เสียหายส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการจะเข้ามาเป็นแม่ข่ายแต่ต้องการจะนำสินค้าไปขายจริง ๆ

โดยรูปแบบความเสียหาย คือการโอนเงินเพื่อชำระค่าสินค้าสำหรับนำไปจำหน่ายแต่กลับไม่ได้สินค้า และได้รับแจ้งจากผู้ค้าในประเทศไทยว่าให้รอสินค้าก่อนแต่เมื่อรอก็ยังไม่ได้รับ ซึ่งกลุ่มผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแม่ค้าที่นิยมจะนำสินค้าไทยไปขายในต่างประเทศ และบังเอิญได้เห็นโฆษณาผ่านแอพใน Facebook ประกอบกับเห็นว่ามีบอสดาราร่วมอยู่ในบริษัททำให้เกิดความต้องการที่จะนำสินค้าดังกล่าวไปขายในต่างประเทศ โดยที่ผ่านมาพบกลุ่มผู้เสียหายบางคนเคยพบกับบอส พอลและบอสดาราที่ต่างประเทศ จึงทำให้เกิดความเชื่อมั่น

นายอิทธิเดช ระบุว่า มีหนึ่งในผู้เสียหายซึ่งเป็นคนไทยในฮ่องกง ที่ได้ลงทุนสั่งสินค้าเป็นเงินกว่า 1 ล้านบาท โดยมีการสั่งซื้อผงโกโก้ กาแฟ ครีม คอลลาเจน ซึ่งหลังการสั่งสินค้าก็ได้รับสินค้าจริงแต่เป็นปริมาณที่ไม่ตรงกับยอดสั่งซื้อ เมื่อพยายามติดต่อไปยังแม่ข่ายที่แนะนำ ก็ถูกปฏิเสธความรับผิดชอบ และนอกเหนือจากคนไทยที่อยู่ในฮ่องกงแล้วยังพบว่ามีผู้เสียหายชาวจีนรวมถึง ชาวต่างชาติอีกหลายคนซึ่งส่วนใหญ่มีความกังวล เกี่ยวกับการติดตามดำเนินคดี เนื่องจากติดปัญหาเรื่องภาษาและค่าเดินทาง ซึ่งส่วนนี้อาจจะมีการมอบอำนาจให้ญาติหรือคนรู้จักในประเทศไทย เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนบก.ปคบ. ซึ่งการเข้าแจ้งความดังกล่าวกลุ่มผู้เสียหายก็คาดหวังว่าจะได้รับเงินคืน

ด้านพ.ต.ท.ปริญญา ปาละ รองผู้กำกับการ (สอบสวน) กองกำกับการ 1 บก.ปคบ. เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีนอกราชอาณาจักรซึ่งหลังจากรับเอกสารแล้ว ก็จะพิจารณาเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย โดยยืนยันว่าการแจ้งความสามารถดำเนินการแจ้งความได้ไม่มีกำหนด.