การขาดแคลนแรงงาน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาท้าทายที่ภาคการเกษตรต้องเผชิญ นวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ จึงได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยผ่านกระบวนการในการคิคค้น พัฒนา พร้อมนำเสนอแนวทางใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพและพร้อมรับมือต่อการผันผวนทางสภาพอากาศ

ลองจินตนาการถึงฟาร์มที่สามารถควบคุมทุกอย่างได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส พืชผลเติบโตอย่างสมบูรณ์แบบภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด และการเก็บเกี่ยวทำได้อย่างอัตโนมัติ นี่ไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป แต่นวัตกรรมทางการเกษตรกำลังทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ

ดังที่ ‘บริษัท ฟ้าอรุณ พืชผลเพื่อไทย จำกัด’ รับถ่ายทอดเทคโนโลยี ‘ปุ๋ยคีเลตธาตุอาหารรอง-เสริม’ ผลงานวิจัยจากนาโนเทค สวทช. โดยให้ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้กลยุทธ์เสริมนวัตกรรมรับเทคโนโลยี-สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ต่อยอดสู่ ‘ปุ๋ยน้ำสำหรับโดรน’ เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีด้านนาโนเทค พร้อมเดินหน้าวางทิศทางการวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยีเพื่อการเกษตร รองรับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและความต้องการของเกษตรแปลงใหญ่

‘ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย’ ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ในการพัฒนาระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้เข้มแข็ง ตามนโยบายที่ ‘ศุภมาส อิศรภักดี’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มอบไว้คือ เอกชนนำ รัฐสนับสนุน เพิ่มบทบาทการทำงานเชิงรุกผลักดันงานวิจัยให้เข้าถึงประชาชนและใช้ประโยชน์ในวงกว้าง สำหรับเกษตรกรรมซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย ยังตอบกลยุทธ์ NANOTEC Flagship ที่มี 4 Strategic Focus คือ สารสกัดสมุนไพร, ชุดตรวจสุขภาวะ, น้ำและสิ่งแวดล้อม รวมถึงเกษตรและอาหาร

“การวิจัยด้านนาโนเทคโนโลยีเพื่อการเกษตร รองรับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและความต้องการของภาคการเกษตรไทย อาทิ โดรน เครื่องมืออัตโนมัติ กึ่งอัตโนมัติ หรือเกษตรแปลงใหญ่ ที่จะช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนให้กับเกษตรกร รวมถึงสร้างมูลค่าให้กับทั้งห่วงโซ่การผลิต นับเป็นความท้าทายใหม่ที่เราวางแผนการทำงานอย่างเต็มที่ รวมถึงกลยุทธ์ขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์งานวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานร่วมกับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายภายใต้บทบาท solution partner อีกด้วย ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ พันธมิตรนวัตกรรมอย่าง บริษัท ฟ้าอรุณ พืชผลเพื่อไทย จำกัด” ผู้อำนวยการนาโนเทคย้ำ

ด้าน ‘ตรีพิพัฒน์ ศิลปการสกุล’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟ้าอรุณ พืชผลเพื่อไทย จำกัด กล่าวว่า ฟ้าอรุณฯ เป็นผู้นำทางด้านการผลิตปุ๋ยและสารปรับปรุงดิน ธาตุอาหารรอง-เสริม การทำงานร่วมกับเกษตรกรไทย ทำให้เราอยากให้เขาทำแล้วมีกำไร ขายผลผลิตทางการเกษตรแล้วมีเงินเหลือใช้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลืมตาอ้าปากได้ และไปได้ไกลเหมือนเกษตรกรของญี่ปุ่น อิสราเอล และประเทศอื่นๆ ที่ประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาช่วยให้เกษตรกรรมไทยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แม้เราเก่งด้านการทำตลาด แต่ในมุมวิชาการ เราต้องการความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งมีนักวิจัยที่เก่งด้านวิจัย ที่จะสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อการเกษตรและยกระดับการเกษตรของไทยอย่างยั่งยืน

เมื่อฟ้าอรุณฯ ต้องการสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ นวัตกรรมจึงเป็นคำตอบ จากการแนะนำของเพื่อนให้รู้จักกับศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ซึ่งมีงานวิจัยและนวัตกรรมหลายๆ อย่างทางด้านการเกษตร ทำให้ฟ้าอรุณฯ ได้ต่อยอดงานวิจัย ‘สารคีเลตจุลธาตุอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มการดูดซึมเข้าสู่พืช’ ที่จดสิทธิบัตรแล้ว โดยร่วมมือกับ ดร. คมสันต์ สุทธิสินทอง หัวหน้าทีมวิจัยเกษตรนาโนขั้นสูง (Advanced Nano Agriculture, ANA) กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและกระบวนการนาโน สู่ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านเกษตรแปลงใหญ่เพื่อลดต้นทุนให้กับเกษตรกร

นอกจากนี้ ตรีพิพัฒน์ ยังกล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับปุ๋ยนาโนคีเลตอีกว่า เป็นการต่อยอดงานวิจัยออกมาเป็นสูตรที่เน้นใช้ร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ อาทิ ปุ๋ยคีเลตใช้ร่วมกับโดรนทางการเกษตร และปุ๋ยคีเลตทางระบบน้ำ เพื่อจุดประสงค์สำคัญคือการพัฒนาเกษตรแปลงใหญ่ของไทย ที่จะช่วยควบคุมต้นทุนการผลิต และเพิ่มกำไรให้กับเกษตรกรได้ นอกจากนี้ยังตอบความต้องการหลักของเกษตรกรที่ต้องการประสิทธิภาพที่เห็นได้จริง โดยที่นวัตกรรมจะเป็นจุดแข็งของฟ้าอรุณฯ เช่นเดียวกับความร่วมมือกับนาโนเทค สวทช. ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ที่ใช้นวัตกรรมดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้า และเกษตรกรทุกกลุ่ม

ไม่เพียงเท่านี้ ฟ้าอรุณฯ ยังวางเป้าหมายรายปีที่จะพัฒนานวัตกรรมด้านปุ๋ยออกสู่ตลาดอย่างน้อย 5 นวัตกรรม รวมถึงการสร้างนวัตกรรมด้านอื่นที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร อาทิ แอพพลิเคชั่นปุ๋ยยา หรือนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ด้วยมองว่า โลกเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน สภาพแวดล้อมและพฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนเช่นกัน ผลิตภัณฑ์ของเราที่อยู่ในด้านเกษตรกรรม เกี่ยวข้องกับคน สิ่งแวดล้อม เราก็ต้องปรับ เพราะไม่ได้ขายแค่วันนี้ แต่อยากโตแบบยั่งยืนไปพร้อมเกษตรกรไทย การมองแนวโน้มเทคโนโลยีของโลกแล้วขยับตามจึงเป็นสิ่งจำเป็น เช่นเรื่องของโดรน

โดรนที่ขึ้นบินจะพ่นปุ๋ยเหลวไปยังพื้นที่การเกษตร ซึ่งมี 2 ปัญหาที่พบคือ เมื่อพ่นแล้วเกิดการฟุ้งกระจาย ทำให้เกิดการสูญเสียผลิตภัณฑ์ไประหว่างการฉีดพ่น และสารที่ฉีดพ่นนั้น ไม่สามารถซึมผ่านชั้นแวกซ์ของใบพืชได้ พืชก็จะดูดซึมไปใช้งานได้น้อย ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร จาก Pain Point เหล่านี้ ฟ้าอรุณฯ ได้ร่วมกับนาโนเทค พัฒนาปุ๋ยนาโนคีเลตที่มีประสิทธิภาพในการแทรกซึมเข้าสู่เซลล์พืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ออกสู่เชิงพาณิชย์เรียบร้อยแล้ว

สำหรับ ‘ปุ๋ยนาโนคีเลต’ ซึ่งเป็นผลงานของ ‘ดร. คมสันต์ สุทธิสินทอง’ จากทีมวิจัยเกษตรนาโนขั้นสูง กลุ่มวิจัยวัสดุผสมและกระบวนการนาโน นาโนเทค สวทช. นั้น นับว่าเป็นการต่อยอดงานวิจัย ‘สารคีเลตจุลธาตุอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มการดูดซึมเข้าสู่พืช’ ที่สามารถแก้ปัญหาคุณภาพด้านการเติมจุลธาตุอาหารให้กับพืช ด้วยธาตุอาหารกลุ่มนี้ตกตะกอนง่าย พืชไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างเต็มที่ ปุ๋ยนาโนคีเลตพัฒนาขึ้นจากการใช้อนุพันธ์ของกรดอะมิโนซึ่งเป็นหน่วยย่อยขององค์ประกอบประเภทโปรตีนของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ผ่านกระบวนการห่อหุ้มจุลธาตุอาหารในรูปแบบสารเชิงซ้อน ให้อยู่ในรูปที่ละลายน้ำได้ดี พร้อมพัฒนาให้สามารถห่อหุ้มจุลธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสามารถในการยึดเกาะใบด้วยสารโมเลกุลขนาดใหญ่สลายตัวได้ตามธรรมชาติ จึงสามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรต่อไร่ได้ 20-50% โดยมีการพัฒนาต่อเนื่อง ให้เหมาะกับพืชผลไม่ว่าจะเป็น ทุเรียน ข้าว และเตรียมขยายสู่พืชเศรษฐกิจของไทยอย่างมันสำปะหลัง อ้อย ในอนาคต

 “การพัฒนาปุ๋ยหรือปัจจัยการผลิตต่างๆ ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีทางด้านการเกษตรสมัยใหม่ เป็นเรื่องที่ท้าทาย และเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องวิจัยและพัฒนาเป็นลำดับต้นๆ ทั้งนี้เนื่องจากเกษตรกรรมเป็นเศรษฐกิจฐานรากของคนไทย การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านประสิทธิภาพจะช่วยควบคุมต้นทุน และเพิ่มผลกำไรให้กับเกษตรกรได้อย่างมีนัยสำคัญ” ดร.คมสันต์ กล่าว

ทั้งนี้ ยังย้ำว่า การผลักดันงานวิจัยและเทคโนโลยีด้านการเกษตรออกสู่ภาคเกษตรของไทย จะช่วยให้เกษตรกรต่อสู้กับปัญหาสำคัญต่างๆ เช่น ปัญหาโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งกำลังเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผลผลิตและรายได้ของเกษตรกรได้อย่างยั่งยืน