สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ว่านายอังเดร เทเนนติ โฆษกกองกำลังชั่วคราวสหประชาชาติในเลบานอน ( ยูนิฟิล ) กล่าวถึงสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ที่ทวีความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง ในรอบไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา และกำลังส่งผลกระทบมากขึ้นต่อภารกิจของยูนิฟิล ว่ามีความเสี่ยงสูงอย่างมาก ที่จะลุกลามบานปลายเป็นความขัดแย้งระดับภูมิภาค และเน้นย้ำว่า “วิธีการทูต” เท่านั้น ที่จะเป็นทางออกให้กับความขัดแย้ง


เทเนนติกล่าวด้วยว่า อิสราเอลประสานงานหลายครั้งมายังยูนิฟิล ขอให้ทหารรักษาสันติภาพถอยร่นออกจากฐานประจำการทั้ง 29 แห่ง ตามแนว “เส้นสีน้ำเงิน” ที่เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างอิสราเอลกับเลบานอน ตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) เป็นระยะทาง 5 กิโลเมตร

อย่างไรก็ตาม ยูนิฟิลยืนกรานปฏิเสธ และเทเนนติยืนยันว่า ภารกิจยูนิฟิลซึ่งเกิดขึ้นหลังสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ เมื่อปี 2549 “มีความสำคัญอย่างมากและจำเป็นอย่างยิ่ง”


แม้เทเนนติกล่าวว่า อิสราเอลยังไม่เคยขอให้ทหารรักษาสันติภาพถอนกำลังออกจากค่ายในเมืองนากูรา ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการของยูนิฟิล แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทหารอิสราเอลปฏิบัติการในบริเวณนี้บ่อยครั้งขึ้น โดยให้เหตุผลเกี่ยวกับ “ภัยคุกคาม” จากกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ของยูนิฟิลได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 5 นาย และเรียกเสียงประณามอย่างหนักจากนานาชาติ ขณะที่อิสราเอลยืนยันจะสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


ทั้งนี้ อิสราเอลยกระดับการโจมตีภาคใต้ของเลบานอน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 1,200 ราย และประชาชนมากกว่า 1 ล้านคน ต้องอพยพออกจากที่อยู่อาศัย.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES