เรื่องของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทมีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้นในประเทศไทย  ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์โลก!!

แต่การส่งเสริมให้มีการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยี AI ในภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม ที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทยถือเป็นสิ่งจำเป็น อย่างที่รู้กันอยู่ว่า  AI เป็นเหมือนดาบสองคน มีทั้งประโยชน์และความเสี่ยง? จึงต้องอย่างใช้สร้างสรรค์และมีธรรมาภิบาล

แล้ว องค์กรในไทยมีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน? คอลัมน์ “ชีวิตติด TECH” มีข้อมูลมานำเสนอ จากผลการศึกษาความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับบริการดิจิทัลของปี 2567 ที่ทาง สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ เอ็ตด้า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทำการสำรวจในครั้งนี้

โดยถือเป็นปีที่ 2  ซึ่ง การศึกษาครั้งนี้ได้ปรับปรุงตัวชี้วัด 13 มิติจากปีที่แล้วของดัชนีการวัด 5 ด้าน ได้แก่  1. ด้านยุทธศาสตร์และความสามารถขององค์กร  2. ด้านข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน  3.ด้านบุคลากร  4. ด้านเทคโนโลยี และ  5. ด้านธรรมาภิบาล  ซึ่งทำการสำรวจหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จำนวน 10 กลุ่ม ตามที่ระบุในแผนปฏิบัติการ AI ได้แก่ เกษตรและอาหาร ,การใช้งานและบริการภาครัฐ ,การแพทย์และสุขภาวะ, อุตสาหกรรมการผลิต ,พลังงานและสิ่งแวดล้อม, การศึกษา ,ท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ,ความมั่นคงและปลอดภัย ,โลจิสติกส์และการขนส่ง และการเงินและการค้า

ซึ่งผลที่ได้จากการประเมินตามด้านต่างๆ จะนำไปสู่การแบ่งความพร้อมขององค์กรได้เป็น 4 ระดับ คือ ระดับ Unaware = ยังไม่มีความตระหนัก/ อยู่ในช่วงเริ่มต้นเรียนรู้, Aware = มีความตระหนักและเริ่มนำ AI ไปใช้งานแล้ว, Ready = มีความพร้อมในการนำ AI ไปใช้งาน และ Competent = มีความเข้มแข็งในการใช้งาน AI

การสำรวผ่านกลุ่มตัวอย่างที่ส่งแบบสอบถามทั้งสิ้น 3,758 หน่วยงาน ในช่วงเวลา 75 วัน (เดือน ก.ค.- ก.ย. 67) พบว่า  หน่วยงานที่มีการนำ AI มาใช้งานในองค์กรแล้ว 17.8% ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย  ส่วนหน่วยงานที่มีแผนที่จะนำมาใช้ในอนาคต 73.3% และที่ยังไม่มีแผนที่จะใช้ AI  8.9% 

จากตัวเลขตัวกล่าว จึงคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตองค์กรในประเทศไทยจะมีนำ AI มาประยุกต์ใช้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน  ซึ่ง องค์กรที่มีการประยุกต์ใช้งาน AI มีเป้าหมายสำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตหรือการให้บริการขององค์กร  เพื่อใช้ในการบริหารจัดการภายในองค์กร และ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ และ/หรือบริการขององค์กรให้แก่องค์กร ตามลำดับ

ทั้งนี้ผลสำรวจยังพบว่า องค์กรที่มีการนำ AI มาใช้งานแล้ว มีความพร้อมเฉลี่ยอยู่ที่ 55.1% หรืออยู่ในระดับ “Aware” ซึ่งหมายถึง องค์กรมีความตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี AI  และเริ่มนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในองค์กร โดยเมื่อพิจารณาแยกลงไปในแต่ละด้าน (Pillar) พบว่า ด้านที่มีความเข้มแข็งมากที่สุด คือ ด้านข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน (ประกอบด้วย รูปแบบและคุณภาพของข้อมูล และ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็นต่อการใช้งาน AI) โดยมีคะแนนเฉลี่ยความพร้อมในด้านนี้อยู่ที่ 65.5% ซึ่งจัดอยู่ในระดับ “Aware” โดยกลุ่มที่มีความพร้อมอยู่ในระดับต้นๆ ได้แก่ กลุ่มการเงินและการค้า  กลุ่มโลจิสติกส์และการขนส่ง และ กลุ่มการศึกษา

ซึ่ง การที่หน่วยงานมีความพร้อมโดยเฉพาะในด้านข้อมูลสูง สาเหตุหนึ่งมาจากในช่วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความตื่นตัวในเรื่องของ Big Data และเห็นความสำคัญของการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ในมุมมองต่างๆ ตามที่องค์กรให้ความสนใจ

 สำหรับด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยในระดับรองลงมาได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านยุทธศาสตร์และความสามารถขององค์กร ด้านธรรมาภิบาล และด้านเทคโนโลยี ตามลำดับ

ขณะเดียวกันสำหรับองค์กรที่ปัจจุบันยังไม่มีการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในองค์กร ได้ให้เหตุผลที่น่าสนใจ 3 อันดับแรก ได้แก่  1.ยังอยู่ในช่วงของการศึกษาข้อมูล เนื่องจากยังไม่ทราบว่าจะนำ AI มาประยุกต์ใช้อย่างไร  2. รอนโยบายจากผู้บริหารที่จะเห็นความจำเป็นในการนำ AI มาใช้ และ  3. องค์กรยังขาดความพร้อมและต้องการการสนับสนุนในด้านงบประมาณ รวมถึงยังต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าในการลงทุนต่างๆ เพื่อให้สามารถนำ AI มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อย่างไรก๋ตามประเด็นและแนวโน้ม ที่น่าสนใจจากการศึกษาในปี  67  ได้แก่ ด้าน Generative AI  พบว่า องค์กรมีใช้ Generative AI ไปเพื่อสนับสนุนการทำงานในด้านหลายด้าน โดยงาน 3 อันดับแรก ได้แก่  1. ด้านการพัฒนาสินค้าหรือบริการ/การวิจัยและพัฒนา  2. ด้านการตลาด การขายและบริการลูกค้า และ  3. ด้านกระบวนการผลิต

ในขณะที่อุปสรรคสำคัญในการใช้งาน Generative AI คือ  1. องค์กรขาดบุคลากรที่มีทักษะ  2.องค์กรมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของข้อมูลที่นำมาใช้งาน และ  3. องค์กรยังขาดเงินทุนสำหรับการจัดซื้อและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถใช้งานได้ 

นอกจากนี้ ประเด็นที่น่าสนใจคือ ยังไม่พบว่าองค์กรใดเลยที่มีนโยบายที่จะเลิกการจ้างคนทั้งหมด แม้ว่างานในส่วนนั้นจะสามารถนำ Generative AI มาใช้แทนได้ก็ตาม แต่เน้นการพัฒนาบุคลากรให้สามารถทำงานร่วมกับ Generative AI ให้มากขึ้น

สำหรับข้อเสนอแนะที่ประเทศไทยและองค์กรต่างๆ ต้องดำเนินการ คือ  1. การพัฒนาทักษะ AI ในทุกระดับ เช่น ผลิต AI Talent, ให้มี AI Engineer, พัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาคุณวุฒิวิชาชีพด้าน AI รวมถึงความตระหนักรู้ AI Governance เป็นต้น 2. การสนับสนุนโดยภาครัฐในการช่วยให้ต้นทุนของการใช้ AI ลดลง และการส่งเสริมการใช้ AI ให้เกิดความคุ้มค่า

3. ธรรมาภิบาล AI เช่น แนวปฏิบัติ AI Governance และ การพัฒนา AI Risk Management Framework เป็นต้น และ 4. การสร้างความตระหนักและสนับสนุนให้เกิดสภาพแวดล้อมที่รองรับการขยายตัวของ AI เช่น มีศูนย์บริการเฉพาะด้านเพื่อให้คำปรึกษา, ศูนย์ทดสอบและขึ้นทะเบียนนวัตกรรม AI และ การทำ AI Readiness Measurement เป็นต้น

ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมขององค์กรในไทย และจะเป็นข้อมูลสำคัญในการสนับสนุนการจัดทำแผนการดำเนินการเพื่อส่งเสริมและพัฒนา AI ในระยะที่ 2   ให้เป็นไปอย่างตรงเป้าหมายได้มากขึ้นด้วย.

Cyber Daily