ที่ อาคารกรมราชทัณฑ์ จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 11 ต.ค.67 กรมราชทัณฑ์จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมราชทัณฑ์ ครบรอบ 109 ปี (13 ต.ค.) โดยมีผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ ข้าราชการกรมราชทัณฑ์ และอดีตผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ ทยอยเดินทางเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง

หลังจากนั้น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ได้มอบนโยบายและแนวทางการปฏิบัติงานแก่ผู้บริหารงานราชทัณฑ์ทั่วประเทศ ว่าวันนี้นับว่าเป็นวันที่ดี ประการที่ 1 คำพูดที่บอกว่า “อดีตต้องเป็นบทเรียน ปัจจุบันและอนาคตคือความรับผิดชอบ” อตีดของราชทัณฑ์ หากไม่นับรวมบุคคล ก็มีประวัติความเป็นมา แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์ ต้องยอมรับว่าเกิดขึ้นในล้นเกล้าฯพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

สิ่งนี้ต้องเป็นสิ่งเตือนใจ ที่บอกว่าเป็นบทเรียนของกรมราชทัณฑ์ หรือแม้กระทั่งกระทรวงยุติธรรม อย่างน้อยที่สุดเราต้องนำพระราชจริยวัตร รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 มาเป็นแนวทางให้ฝั่งอยู่ในตัวตน และในสายเลือด DNA ของกรมราชทัณฑ์ให้ได้ อย่างน้อยที่สุด ล้นเกล้า รัชกาลที่ 5 ท่านเลิกทาส เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก คนราชทัณฑ์สิ่งใดที่เป็นทาสจะต้องไม่มี

ประการที่ 2 ในสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน พระองค์ท่านเป็นที่รักของประชาชน พสกนิกร ดังนั้นกรมราชทัณฑ์ต้องเป็นที่รัก ทั้งเพื่อนร่วมงาน ผู้ต้องราชทัณฑ์ และประชาชน ทำอย่างไรก็ได้ให้ประชาชนรู้สึกว่าเป็นคนราชทัณฑ์ของเรา ไม่ใช่เป็นคนกรมราชทัณฑ์ที่มีคนหวาดระแวง

ประการที่ 3 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านจะเสด็จประพาส ทั้งในและต่างประเทศ ท่านไม่ได้นั่งฟังในห้อง พวกเราโดยเฉพาะผู้บัญชาการเรือนจำ ควรคุยไปพบกับผู้ต้องราชทัณฑ์ทุกคน การไม่พูดคุยกัน ทำให้เราไม่รู้ เพราะการรับฟัง จะทำให้รู้ประวัติ รู้บุคคล

ประการที่ 4 เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน คือ พระราชจริยวัตร ของทั้งรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 คือการปฏิรูป นั่นคือการทำให้ดีขึ้น กรมราชทัณฑ์เกิดขึ้นได้ก็เพราะการปฏิรูป ดังนั้นคนราชทัณฑ์ต้องปฏิรูปให้ดีขึ้น

ในฐานะรัฐบาล กระบอกเสียงที่สำคัญของรัฐบาลที่สุดคือนโยบายที่เราแถลง เพราะในรัฐธรรมกำหนดว่า รัฐบาลต้องยึดนโยบาย ซึ่งมีอายุ 4 ปี ในช่วงนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ดำเนินนโบายมาได้ 1 ปี และในรัฐบาลใหม่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งยังคงเหลืออีก 3 ปี

“เป็นสิ่งที่ท้าทายกรมราชทัณฑ์อย่างยิ่ง กรมราชทัณฑ์อาจถูกแฝงไว้ในเรื่องการแก้ปัญหายาเสพติด เป็นสิ่งจำเป็นต้องเอาบุคคลที่มีคุณภาพ เอาบุคคลที่ไปสร้างอนาคตให้กับประเทศชาติ กลับสู่สังคม นโยบายยาเสพติดก็ดี ต้องนำคนที่มีคุณภาพออกไปสู่สังคม”

ดังนั้นการที่จะทำให้คนมีคุณภาพ ทำได้อย่างเดียว ท่านต้องหยิบรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเราเขียนไว้ว่า มาตรา 3 วรรคสองว่า ’การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์การ ตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามกฎหมายตามหลักนิติธรรม เพื่อความผาสุกของประชาชน และประเทศชาติโดนส่วนรวม‘ และที่ตามมาอีก คือ มาตรา 53 รัฐต้องให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย และบังคับใช้กฎหมาย โดยเคร่งครัด‘

กฎหมายราชทัณฑ์ ตนคิดว่าเราไปเอาหลักสหประชาชาติ และหลักสิทธิมนุษยชน มาใส่เป็นกฎหมายทั้งหมดเมื่อปี 2560 สิ่งสำคัญที่สุด คือต้องการแก้ไข ผู้ต้องขัง ผู้ต้องราชทัณฑ์ที่แออัด หรือเรียกว่านักโทษล้นคุก

ลำพังจะนำเงินมาสร้างเรือนจำ 1-2 พันล้าน 1 เรือนจำ ไม่มากกว่านั้น นับวันเรือนจำจะยิ่งลดน้อยถอยลง ส่วนที่นำมาพัฒนาประเทศเป็นเงินกู้ทั้งนั้น เงินที่ประชาชนเสียภาษี มาเป็นรายจ่ายประจำ จึงเป็นเรื่องท้าทายของพวกเราว่าจะทำอย่างไร

พ.ต.อ.ทวี กล่าวต่อไปว่าในกฎหมายราชทัณฑ์ เขาต้องการให้องค์กรหนึ่ง เข้ามาแก้ไขและต้องทำให้คณะรัฐมนตรีต้องฟังคือ คณะกรรมการราชทัณฑ์ เพราะคณะกรรมราชทัณฑ์ จะสามารถพัฒนาให้คำแนะนำ ราชทัณฑ์ในอดีตอาจเป็นยุคของการลงโทษ การข่มขู่ แต่ราชทัณฑ์ในยุคปี 2566 ราชทัณฑ์จะเป็นสถานที่สร้างอนาคตให้กับประเทศไทย

เหตุที่มาพูดเช่นนี้ เพราะมีคำกล่าวว่า หากจะดูอดีตสังคมใด ให้ไปดูที่พิพิธภัณฑ์กรมราชทัณฑ์ ถ้าจะดูปัจจุบันให้ไปดูที่หน่อยปฏิบัติ

วันนี้พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ เป็นการสร้างจิตพิสัย ซึ่งจิตพิสัยเขียนไว้เลยว่า ต้องการ การศึกษา วันนี้ราชทัณฑ์มีเรื่องท้าทายมาก เพราะว่าผู้ต้องราชทัณฑ์ 77% หรือ 2 แสนกว่าคน มีการศึกษาต่ำกว่าขั้นพื้นฐาน เวลามีนักเรียน 1 คน ที่อายุถึง 18 ปี จะต้องนำเงิน 55,000-60,000 บาท เพื่อให้ไปจัดการศึกษา แต่คนกลุ่มนี้ออกกลางคัน เรียนไม่จบ ส่วนมากก็เข้ามาอยู่ในราชทัณฑ์ถึง 2 แสนกว่าคน เขาบอกว่าไม่มีอะไรยากเท่าการบูรณะ

ทางภาคอีสานบอกว่า การบูรณะวัตถุ หรือการสร้างบ้าน ง่ายกว่าการซ่อมบ้าน ยิ่งการบูรณะคนที่ก้าวพลาดยิ่งยาก เป็นหน้าที่ของพวกท่าน ผู้บัญชาการเรือนจำ ต้องจัดการศึกษา ดังนั้นตนคิดว่าเป็นเรื่องท้าทาย

เมื่อก่อนเราถูกท้าท้ายเรื่องการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยผู้ต้องราชทัณฑ์ วันนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายอีกอย่างยิ่ง ในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ บอกว่าต้องเตรียมความพร้อม ต้องบำบัดฟื้นฟู ก่อนมีคำพิพากษา

ประเทศไทยมีนักโทษอันดับ 5 ของโลก อินโดนีเซียมีประชากร 251 ล้านคน แต่นักโทษน้อยกว่าเรา ตนไปเจอคนอินโดนีเซีย เขาบอก เขานิสัยดีกว่าคนไทย ถ้านิสัยไม่ดีเขาต้องติดคุกแล้ว ตนขอชื่นชมท่านอดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ วันนี้เป็นโอกาสของประเทศไทย คือ คนหนุ่มสาว คนที่เป็นภาระ เราถูกรับภาระโดยนโยบาย ว่าจะทำอย่างไรให้คนหลังกำแพง ออกไปให้เป็นคนที่มีคุณภาพ สุขภาพที่ดี ติดยาเสพติด ต้องถูกรักษาในเรือนจำ ออกไปให้เขามีอาชีพ ให้เขามีการศึกษา

”4 ปีนี้ เป็นวาระที่เป็นโอกาส และเป็นสิ่งท้าทาย ของประเทศไทย อย่างน้อยที่สุดคนของกรมราชทัณฑ์ จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศ สร้างมนุษย์ให้มีคุณภาพ มีการศึกษา เรามารวมกันทำภาระกิจนอกจากพัฒนาจิตพิสัยแล้ว เราจะต้องมีตัวชี้วัดสำคัญ คือทำคนให้มีคุณภาพออกไปสู่สังคม“ รมว.ยุติธรรม กล่าว