นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นประธานในพิธีลงนาม บันทึกการดำเนินการด้านเทคนิคสำหรับการขนส่งสินค้าทางรถไฟ ระหว่าง รฟท. และรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว สปป.ลาว มีตน และ นายดาวจินดา สีหาราด ผู้ว่าการรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว ร่วมลงนาม ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบขนส่งร่วมกันระหว่างสองประเทศ เชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมทางรางให้ไทยก้าวสู่ศูนย์กลางการขนส่งทางรางในภูมิภาคอาเซียน

นายวีริศ กล่าวต่อว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบราง ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งหลักของประเทศ จึงมอบหมายให้ รฟท. เร่งดำเนินการผลักดัน และพัฒนาการขนส่งทางราง โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าระหว่างไทย–ลาว–จีน ซึ่งเป็นเส้นทางที่สามารถเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมทางรางให้เกิดการเจริญเติบโตสู่ภูมิภาค ส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจ สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศ

ทั้งนี้ รฟท. และรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งชาติลาว ได้บังคับใช้ความตกลงว่าด้วยการเดินรถไฟร่วมกันระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค. 51 ซึ่งการลงนามครั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าทางรถไฟ และการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-สปป.ลาว อาทิ เส้นทางขนส่ง จุดเข้า-ออกประเทศ การจัดขบวนรถและตารางเดินรถ กฎข้อบังคับเเละเอกสารการขนส่งสินค้า กฎข้อบังคับการเดินรถ การให้ความช่วยเหลือในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ การชำระบัญชี ซึ่งจะสามารถขนส่งสินค้าร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายวีริศ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันการขนส่งสินค้าจากประเทศไทย ไปยัง สปป.ลาว และ จีน มีหลายชนิด อาทิ ข้าวมอลต์ ปุ๋ย อะไหล่รถยนต์ สินค้าอีคอมเมิร์ซ สินค้าอุปโภคบริโภค และผลไม้ เฉลี่ยวันละ 4–6 ขบวน ไป/กลับ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร (ทุเรียน) และสินค้าที่มาจากแหลมฉบัง ผ่านสถานีนาทาฝั่งประเทศไทย ไปยังสถานีขนถ่ายสินค้าท่านาแล้ง สปป.ลาว เพื่อกระจายสินค้าไปยัง สปป. ลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น โดยในปี 66 มีรายได้จากการขนส่งสินค้าระหว่างไทย-สปป.ลาว 11,361,000 บาท และช่วงเดือน ต.ค. 66–ส.ค. 67 มีรายได้เพิ่มขึ้น 26,749,500 บาท อย่างไรก็ตามคาดว่าในปี 68 จะมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท

นายวีริศ กล่าวด้วยว่า เชื่อมั่นว่าการลงนามในบันทึกความร่วมมือครั้งนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่จะช่วยขยายโครงข่ายคมนาคมทางราง ยกระดับการขนส่งสินค้าทางรางทั้งสองประเทศ ก่อให้เกิดการเจริญเติบโตทางการค้าระหว่างประเทศที่สำคัญ ทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางรางในภูมิภาคอาเซียนได้ตามนโยบายของรัฐบาล.