นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า การปรับขึ้นของราคาทองคำในครั้งนี้ถือเป็นการตอบรับสงครามตะวันออกกลางที่เกิดขึ้นล่าสุด และหากสงครามยังยืดเยื้อขยายวงกว้าง  ในระยะสั้นนี้คาดว่าราคาทองคำจะแกว่งตัวแรงและดันราคาให้สูงขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ของปีที่ระดับ 2,700-2,750 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือบาทละ 42,250-43,000 บาท 

ขณะเดียวกับค่าเงินบาทที่เคยแข็งค่าระดับ 33 บาท ตอนนี้กลับมาอ่อนค่าในระดับ 32.10 บาท โดยเริ่มได้รับการแทรกแซงจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และในช่วงกลางเดือน ต.ค.นี้ จะมีการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจปรับลดดอกเบี้ยหรือส่งสัญญาณจะลดในครั้งถัดไปก็จะเป็นหนึ่งในปัจจัยหนุนราคาทองคำต่อเนื่อง และหาก ธปท.ผ่อนคลายนโยบายการเงินหรือส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยด้วย ก็จะทำให้ค่าเงินบาทในประเทศอ่อนหนุนราคาทองคำปรับขึ้นอีกเป็นเด้งที่ 2 

รายงานข่าวจาก บริษัท ชายน์นิ่งโกลด์ บูลเลี่ยน จำกัด กล่าวว่า ราคาทองไทยได้รับอิทธิพลเชิงบวก 2 เด้ง จากการอ่อนค่าของค่าเงินบาทและการที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวขึ้นพร้อมๆ กัน ทำให้ราคาทองไทยเด้งตัวขึ้นมาทะลุ 41,250 บาท ได้เร็วและง่าย นักลงทุนระยะกลางที่สะสมกันมาเรื่อย ๆ แนะนำถือต่อ โดยพิจารณาแนวต้าน แบ่งขายทำกำไรบางส่วน ทีละระดับ 41,450, 41,650-41,700, 42,000 บาทต่อบาททองคำ และเมื่อย่อตัวทยอยซื้อเข้าใหม่ทดแทนที่ ขายทำกำไรไป โดยระยะสั้นนักลงทุนที่ราคาเข้ามาใหม่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ และมีความเสี่ยง ควรระมัดระวัง

นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินแนวโน้มราคาทองคำในเดือน ต.ค. ว่า ราคาทองคำมีโอกาสพักตัว โดยให้ระวังแรงขายทำกำไรหลังประธานเฟดส่งสัญญาณไม่รีบร้อนในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากตัวเลขเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมามีสัญญาณชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งต่อไป อย่างไรก็ตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง และปัจจัยทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ ยังคงเป็นปัจจัยหนุนทองคำ มองกรอบทองคำเดือนนี้ 2,530–2,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ คาดว่ามีโอกาสทดสอบแนวรับ