ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศอย่างมาก สำหรับกรณีรถบัสที่พาคณะครูและนักเรียนมาทัศนศึกษา แล้วเกิดเหตุเพลิงไหม้ ขณะเดินทาง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จึงทำให้เหล่าคนบันเทิงและหลายคนได้ออกมาไว้อาลัยกับการสูญเสียในครั้งนี้อีกด้วย

ล่าสุดพระเอกหนุ่ม “บอย ปกรณ์” ได้มาร่วมงานบวงสรวงซีรีส์เรื่อง “TIME หมุนเวลาตาย” หนุ่มบอยก็ยอมรับว่าสะเทือนใจกับเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมเล่าเรื่องราวการผันตัวมาเปลี่ยนนักแสดงฟรีแลนซ์และแจงเหตุผลที่ทำไมหนุ่มบอยถึงโผล่ในโซเชียลบ่อย โดยเจ้าตัวในเล่าว่า

ในส่วนของงานตอนนี้ออกมาเป็นฟรีแลนซ์ ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกเปลี่ยนไปจากตอนมีสังกัดสักเท่าไร การทำงานของผมเหมือนเดิมแต่ว่าผมแค่รู้สึกว่าคนที่อยู่ในวงทำงานเริ่มจะรู้มากขึ้นเรื่อยๆว่าผมเป็นฟรีแลนซ์แล้ว เพราะตอนที่ผมออกมาเป็นฟรีแลนซ์คนยังไม่ได้รู้เยอะ และตอนนี้ก็ได้มีงานติดต่อเข้ามาก็ค่อนข้างเยอะเลยครับ พอมาทำงานเป็นฟรีแลนซ์เป็นอย่างไรบ้าง ถ้าถามผมก็แต่ละที่ ลักษณะในการทำงานก็อาจจะไม่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากขนาดนั้น เราก็แค่ได้มาเจอทีมงานใหม่ๆ เราเหมือนแค่ได้ย้ายออกไปทำงานในที่ต่างๆ แค่นั้นเอง แต่ที่ผมรู้สึกว่ามันต่างมากเลย คือผมได้เลือกบทที่ผมอยากเล่นเอง ผมได้เลือกบทที่มันท้าทายผม แล้วก็ได้เจออะไรใหม่ๆ ถามว่าต้องปรับตัวเยอะไหมในการเจอทีมงานใหม่ๆ จริงๆ คือแทบจะไม่ต้องปรับอะไร เราก็ยังทำงานของเราเหมือนเดิมในฐานะนักแสดงเราก็รู้ว่าการทำงานไปเจอทีมงานต้องทำอย่างไร อันนี้ผมว่าเหมือนเดิม อย่างหลายคนก็บอกว่าผมหายหน้าไปเลยจากเรื่องสุดท้ายตอนนี้ก็ปีกว่าแล้ว เพราะว่าประเด็นหลายอย่าง ช่วงไปบวชด้วย และเปลี่ยนผันมาเป็นฟรีแลนซ์ด้วย แต่ว่าถ้านับจากตรงนี้ก็จะได้เห็นผลงานผมเรื่อยๆครับ ถามว่ารับงานเยอะขนาดนี้เอาเวลาไหนไปคิดเรื่องแต่งงาน (หัวเราะ) คือเราแยกได้ครับ ทำงานไปคิดได้ครับ ผมว่าคนทำงานในวงการเท่าที่เราเห็น ถ้าจะแต่งงานหรืออะไรผมว่าเขาทำควบคู่กันไปได้ มันมีแค่อย่างเดียวที่ควบคู่กันไม่ได้คือบวชนี่แหละ เพราะมันต้องโกนผม ถามว่าช่วงนี้ผมโผล่ทุกโซเชียลจนคนเกลียด คือเขาอาจจะไม่ได้เกลียด แต่เขามีวิธีเอ็นดูผม เลยพิมพ์แบบนั้นออกมา เขาอาจจะบอกว่าช่วงนี้เห็นหน้าพี่บอยบ่อยจัง ไม่ค่อยอยากจะคิดถึงพี่บอยแล้ว เขาอาจจะแบบรำคาญผม เอาจริงๆผมเห็นคอมเมนต์เรื่อยๆแหละ แต่ผมคือก็พอเข้าใจเขาก็ไม่ได้จริงจังหรอกเดี๋ยวนี้โลกโซเชียลมันก็เร็ว อะไรที่มันเป็นมีมเขาก็พิมพ์ตาม เช่น เบื่อหน้าบอยว่ะ โผล่มาทุก5นาที ผมก็อยากจะบอกทุกคนว่า ผมยังเบื่อหน้าตัวเองเลย เพราะผมก็เห็นเหมือนกัน แต่คืออยากจะบอกว่ามันก็เป็นงานที่ผมรับมา งานผมมันจบไปแล้วที่นี้มันคือในส่วนของเขาแล้ว

ในส่วนของเหตุการณ์ที่รถบัสไฟไหม้ ยอมรับว่าเป็นเรื่องสะเทือนใจ เห็นข่าวแล้วหดหู่ใจ น่าสงสาร ทุกครั้งที่น้องวันใหม่จะไปทัศนศึกษานอกพื้นที่ ตนเองก็มีความกังวล เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนก็เป็น ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ก็กลัวทุกอย่างแหละในฐานะที่เราเป็นผู้ปกครอง พอเด็กห่างสายตาเรา เราก็เป็นห่วง แต่ว่าการทัศนศึกษาเป็นเรื่องปกติของทุกโรงเรียนที่จะมีการออกไปศึกษานอกสถานที่ ทางโรงเรียนก็ดูแลนักเรียนดีเต็มที่อยู่แล้ว ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่ในส่วนของอุบัติเหตุในเคสนี้ ผมเชื่อว่าทางโรงเรียนและคุณครูก็ดูแลนักเรียนเต็มที่ที่สุด แต่ผมว่าปัญหาจริงๆ มันเกิดจากรถ ตั้งคำถามว่าทำไมยังปล่อยให้รถ 50 กว่าปี ยังออกมาวิ่งบนถนนอยู่ ทำไมไม่ปลดระวาง มันอยู่ที่จิตสำนึกของผู้ประกอบการ ต้องตรวจสอบสภาพรถอยู่เสมอ เพราะรถไม่ควรจะใช้งานแล้วต่อให้จะวิ่งได้ก็ตาม อีกอย่างในเมืองไทยเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ ได้มีการรณรงค์กันอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ก็ทำได้แค่แป๊บเดียว ควรจะควบคุมและตรวจสอบกันอย่างต่อเนื่อง อย่าให้เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วค่อยแก้ไข เปรียบเหมือนกับการที่วัวหายล้อมคอก เหตุการณ์แบบนี้มันมีผลต่อการไว้วางใจ ใครเห็นก็กลัว เอาจริงๆน้องวันใหม่ก็มีต้องไปทัศนศึกษาเร็วๆ นี้เหมือนกัน ผมว่าทุกคนพอเจอแบบนี้สะเทือนใจหมดและก็จะเป็นห่วงมากขึ้น แต่คงต้องคุยกับทางโรงเรียนว่าจะมีมาตรการรับมืออย่างไร ส่วนประเด็นที่คนถกเถียงว่าควรยกเลิกทัศนศึกษาไปเลยดีกว่า ผมมองว่าการเรียนการศึกษาก็สำคัญ นอกสถานที่ก็สำคัญ ทุกคนก็เคยผ่านกิจกรรมทัศนศึกษามา เราก็เติบโตมาได้โดยที่ไม่เกิดอะไร เพราะฉะนั้นแล้วคือเรื่องการยกเลิกหรือไม่ยกเลิกทัศนศึกษา ผมขอไม่ออกความเห็น แต่ว่าในมุมของผม ผมคิดว่าควรโฟกัสในสิ่งที่ไปที่ความปลอดภัยของเด็กนักเรียนให้ดีที่สุดดีกว่า”