สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ว่า นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวถึงการตัดสินใจดังกล่าวของรัสเซีย หลังถูกถามเกี่ยวกับชะตากรรมของสนธิสัญญา “นิว สตาร์ต” หรือสนธิสัญญาสันติภาพระดับทวิภาคี ว่าด้วยการลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งมีกำหนดหมดอายุในวันที่ 5 ก.พ. 2569

อนึ่ง ข้อตกลงข้างต้นจำกัดจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ ที่สหรัฐและรัสเซียสามารถครอบครองและติดตั้งได้ นับเป็นเสาหลักสุดท้ายที่เหลืออยู่ สำหรับการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างสองประเทศ

แม้ในปีที่แล้ว ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน สั่งระงับการมีส่วนร่วมของรัสเซีย ในสนธิสัญญาฉบับดังดล่าว เนื่องจากสหรัฐให้การสนับสนุนยูเครน แต่รัฐบาลมอสโกยังคงเก็บหัวรบ, ขีปนาวุธ และเครื่องบินทิ้งระเบิด ในจำนวนจำกัด ตามเกณฑ์สูงสุดของสนธิสัญญานิว สตาร์ต เช่นเดียวกับสหรัฐ

ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์อิซเวสเตียของรัสเซีย รายงานโดยอ้างอิงแหล่งข่าวหนึ่งว่า รัสเซียจะไม่ลงนามในสนธิสัญญาฉบับใหม่กับสหรัฐ เนื่องจากรัฐบาลวอชิงตันช่วยเหลือยูเครนในสงคราม ซึ่งเปสคอฟ กล่าวเพิ่มเติมว่า รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับคำพูดของปูตินเป็นส่วนใหญ่

“เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ปูตินกล่าวว่า เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป มันจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหารือเกี่ยวกับอาวุธโจมตีทางยุทธศาสตร์ คลังแสง และอื่น ๆ โดยไม่คำนึงถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ทางทหารในยุโรป, การรวมประเทศยุโรปในกระบวนการเจรจา และองค์ประกอบอื่นของความมั่นคงเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งรัสเซียจะไม่ทำเช่นนั้น” เปสคอฟ กล่าวกับผู้สื่อข่าว.

เครดิตภาพ : AFP