สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ว่า กองกำลังพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน (ไออาร์จีซี) ออกแถลงการณ์ ยืนยันการยิงขีปนาวุธ 200 ลูก รวมถึงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง หรือขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก โจมตีเป้าหมายทางทหาร ในกรุงเทลอาวีฟ และฐานทัพที่ตั้งอยู่ตามเมืองใหญ่อีกหลายแห่งของอิสราเอล เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ยืนยันว่า “90%” ของขีปนาวุธที่ยิงออกไปนั้น “เข้าเป้าหมาย”


ขณะที่ พล.จ.โมฮัมเหม็ด บาเกรี ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมอิหร่าน กล่าวว่า หากมีการตอบโต้จากอิสราเอล การโจมตีครั้งต่อไปของอิหร่าน จะพุ่งเป้าไปที่โครสร้างพื้นฐานของอิสราเอล ซึ่งแน่นอนว่า จะส่งผลให้เกิดความเสียหาย “ใหญ่หลวง”


ทั้งนี้ ไออาร์จีซีกล่าวถึงการยิงขีปนาวุธชุดใหญ่ครั้งนี้ “เพื่อตอบโต้” การที่อิสราเอลสังหารนายอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำสูงสุดฝ่ายการเมืองของกลุ่มฮามาส นายฮัสซัน นาสราลเลาะห์ ผู้นำสูงสุดของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ และทหารระดับสูงของอิหร่านอีกหลายนาย ที่ประจำการอยู่ในเลบานอน และซีเรีย


ต่อมากองทัพอิสราเอลออกแถลงการณ์ ว่าอิหร่านยิงขีปนาวุธประมาณ 180 ลูก และระบบป้องกันทางอากาศไอเอิร์น โดม สามารถสกัดการโจมตีของขีปนาวุธไว้ได้แทบทั้งหมด แม้ยอมรับว่ามีขีปนาวุธบางลูก “หลุดรอด” จากการสกัดกั้นของระบบป้องกัน และตกลงในพื้นที่บางแห่ง ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหาย แต่ยังไม่มีการยืนยันผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ


ส่วนกองทัพสหรัฐกล่าวว่า การโจมตีที่เกิดขึ้นของอิหร่านครั้งนี้ “ไม่ได้ผลและไม่มีประสิทธิภาพ” และกำลังหารือกับอิสราเอล เกี่ยวกับ “การตอบสนองตามความเหมาะสม”


ด้านนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล กล่าวว่า การที่อิหร่านยิงขีปนาวุธใส่อิสราเอล “คือความผิดพลาดมหันต์” และรัฐบาลเตหะราน “ต้องชดใช้” เช่นเดียวกับนายโยอาฟ กัลลันต์ รมว.กลาโหมอิสราเอล ซึ่งกล่าวว่า อิหร่าน “ยังคงไม่ถอดบทเรียน” จากการเคยยิงขีปนาวุธใส่อิสราเอล เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา เนื่องจาก “ใครที่โจมตีอิสราเอล จะต้องเผชิญกับการโจมตีโต้กลับเสมอ”.

เครดิตภาพ : AFP