เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 30 ก.ย. 2567 ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา โดยมีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ทั้งนี้ มีการพิจารณากระทู้ถามเป็นหนังสือของ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ถาม รมว.พาณิชย์ เรื่อง ขอให้รัฐบาลเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาหารครอบงำของอีคอมเมิร์ซข้ามชาติ เพื่อปกป้องผู้ประกอบการ SMEs ในไทย ว่า แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซใหญ่ข้ามชาติที่เข้ามาในประเทศไทยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีผลกระทบต่อเอสเอ็มอีไทย ซึ่งแพลตฟอร์มล่าสุดคือ ทีมู (TEMU) ประเทศจีน ที่ขายสินค้าทุกชนิดด้วยราคาต่ำมาก โดยใช้วิธีตัดพ่อค้าคนกลางออกไป ขณะเดียวกันคนที่ซื้อสินค้าราคาถูกเหล่านี้ ก็อาจจะได้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพหรือใกล้หมดอายุมีสารปนเปื้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือใช้ไม่ได้จริง ที่เราเรียกว่าไม่ตรงปก เมื่อสินค้าขายไม่ได้ ก็กลายเป็นขยะที่กำลังมีปัญหาอยู่ทุกวันนี้
น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า ใน 6 เดือนแรกของปี 2567 มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 7.12 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกันคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.33 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าจากจีนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 15.66 ก่อนหน้านี้เห็นข่าวว่ารัฐมนตรีขอความร่วมมือผ่านทางทูตให้ทางทีมู มาจดทะเบียนและมาตั้งบริษัทในไทย ก็เอาใจช่วยว่าจะทำได้จริง เพราะขนาดเกาหลีใต้ สามารถทำให้ทีมูมาจดทะเบียนในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา แต่เมื่อไปตรวจสอบพบว่า สถานที่ตั้งไม่พบว่ามีผู้บริหาร มีเพียงป้ายที่แสดงสัญลักษณ์ของบริษัททีมูอยู่เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายรัฐมนตรีที่ไปชวนเขามาตั้งบริษัท ขณะที่กิจกรรมไลฟ์คอมเมิร์ซไทยจีนที่ดึงอินฟลูเอนเซอร์ช่วยขายสินค้าไทยที่คาดว่า 5 วัน จะทะลุพันล้านบาท ดูตัวเลขแล้วน่าทึ่ง แต่เทียบไม่ได้กับยอดที่ไทยขาดดุลจีน ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาที่ฉาบฉวย
น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า ตนขอตั้งคำถามต่อกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้เอสเอ็มอีได้เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ 5 ข้อ คือ 1.มีมาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบงำจากอีคอมเมิร์ซข้ามชาติอย่างไร 2.มีมาตรการในการสนับสนุนเยียวยา SMES ในไทย ที่ได้รับผลกระทบอย่างไร 3.มีมาตรการในการจัดการกับปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพอันเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคที่จะเข้ามาตามแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติอย่างไร 4.มีแผนยุทธศาสตร์อย่างไรในการแก้ไขการขาดดุลการค้าไทยจีน และ 5.ประเทศไทยจะร่วมมือกับอาเซียนอย่างไรในการจัดการกับปัญหานี้
ด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า ไทยมีความจำเป็นต้องพึ่งพาจีนเพราะเป็นตลาดใหญ่ หากเจรจาต่อรองขายของในจีนจะได้ประโยชน์เยอะ ซึ่งได้เชิญ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เข้าหารือหลังรับตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งจีนยืนยันว่าพร้อมให้ความร่วมมือกับไทยทุกอย่าง โดยเรื่องแรกๆ ที่จะทำคือต้องให้สินค้าจีนมีมาตรฐาน เช่น ผ่าน มอก. อย. และมีป้ายติดชัดเจน ซึ่งจีนยืนยันว่าพร้อมปฏิบัติตามกฎหมายไทยอย่างเคร่งครัด และส่วนตัวจะไม่ยอมเด็ดขาดหากมีการขายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้จีนยังยืนยันที่จะลงทุนในไทยเพิ่ม แต่สิ่งสำคัญที่สนใจอยากให้ต่างชาติ มีเทคโนโลยีที่สููงมาลงทุนในไทยมากขึ้น
นายพิชัย กล่าวว่า ส่วนในกรณี ทีมูแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ สัญชาติจีน ถ้ามาตั้งที่ไทยจริง ก็ต้องผ่านมาตรฐานต่างๆ และจะติดตามมอนิเตอร์สินค้าจีนที่เข้ามาอย่างใกล้ชิด ยืนยันว่าไม่นิ่งนอนใจมีมาตรการให้ความช่วยเหลือ SMEs ทั้งสร้าง SMEs รุ่นใหม่ที่มีความสามารถ และการแก้ไขปัญหา SMEs ต้องบูรณาการทุกกระทรวง ต้องดูเรื่องหนี้สินของ SMEs เพราะปัจจุบัน หนี้เพิ่มขึ้นจำนวนมากจะยากต่อการเดินหน้าต่อ โดยกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องร่วมมือกัน แก้ไขปัญหาในภาพรวม เพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งสินค้าจีนมาแทรกแซง SMEs เป็นส่วนหนึ่งที่อาจจะเป็นปลายเหตุ แต่ต้นเหตุที่เกิดปัญหามาจากโควิด-19 ซึ่งการตัดหนี้ก็เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้น จึงอยากให้ ธปท. มองว่าเป็นเรื่องปกติ ซึ่งในต่างประเทศเป็นเรื่องปกติที่ต้องช่วยเหลือกัน กระทรวงการคลังร่วมมือกับ ธปท. แต่ ธปท. เรายังไม่ยอมลดดอกเบี้ย พอตนออกมาตำหนิ ธปท. คนก็มาตำหนิตน
“ผมยืนยันว่าไม่ได้ด่าแบงก์ชาติ แต่ถ้าเศรษฐกิจแย่ขนาดนี้ จะต้องออกมาตรการช่วยเหลือให้ฟื้น เหมือนประเทศจีนออกแพ็กเกจใหญ่มาช่วย แต่ 10 ปี แบงก์ชาติไม่ได้ทำอะไรเลย ทั้งที่มีหน้าที่ช่วยเศรษฐกิจด้วย ไม่ใช่เพียงกระทรวงการคลังหรือรัฐบาลมีหน้าที่อย่างเดียว แต่ทั้งโลก แบงก์ชาติมีหน้าที่ฟื้นเศรษฐกิจ อย่าง สหรัฐ หากมีปัญหาก็อัดเงินจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้น ผมยืนยันไม่อยากทะเลาะกับใครหรือข้องใจกับใคร บางครั้งอาจจะพูดแรงไปบ้าง เพราะรู้ถึงความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งหอการค้า ภาคอุตสาหกรรม โทรฯ มาบอกว่ามันจะเจ๊งกันอยู่แล้ว มาเจอโควิด ดอกเบี้ยแพงหลายเรื่อง เราพยายามแก้ทุกทาง แต่ต้องแก้ภาพรวมทั้งหมดด้วย เราอยากแก้ทุกอย่างพร้อมกัน ร่วมมือกันทุกฝ่าย ที่ผ่านมาถือเป็นวิกฤติ ทำอย่างไรให้ฝ่าวิกฤติไปให้ได้” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์กำลังทำคือเร่งเจรจาการค้า ในการแก้ปัญหาผู้ประกอบการ SMEs จะมีการแถลงเร็วๆนี้ โดยนายกรัฐมนตรี มีหลายโปรแกรมที่จะให้ความช่วยเหลือ เพราะเป็นหน้าที่หลักรวมถึงต้องผลักดันผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ตนยินดีเปิดรับฟัง และแก้ไขให้กับผู้ที่มีปัญหา.