วุฒิสมาชิก เอมี่ คลอบูชาร์ จากพรรคเดโมแครต และ ชัค กราสส์ลีย์ จากพรรครีพับลิกัน เสนอร่างกฎหมายป้องกันการผูกขาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดีย ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในกลุ่มกฎหมายที่มีเป้าหมายเพื่อจำกัดอิทธิพลทางการตลาดของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Facebook และ Apple

ขณะนี้ยังไม่มีร่างกฎหมายฉบับไหนผ่านการเห็นชอบทั้งสองสภาและประกาศบังคับใช้ ยกเว้นร่างกฎหมายฉบับหนึ่งซึ่งเป็นการเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายบังคับใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาด ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาสูงสหรัฐไปแล้ว

โดยเนื้อหาของร่างกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการห้ามแพลตฟอร์มเทคโนโลยีบังคับบริษัทต่าง ๆ ที่ดำเนินการบนไซต์ของพวกตน ให้ซื้อสินค้าหรือบริการของแพลตฟอร์ม และห้ามการนำเสนอผลลัพธ์การค้นหาที่เอื้อประโยชน์แก่แพลตฟอร์ม ทั้งนี้ กฎหมายบางส่วนได้ผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการตุลาการสหรัฐไปแล้ว แต่จะประกาศบังคับใช้ได้ก็ต่อเมื่อผ่านความเห็นชอบจากทั้งสองสภาของสหรัฐ

Amazon กล่าวในแถลงการณ์เรื่องนี้ว่า ถ้าหากร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบสภา “จะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคและธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางของสหรัฐ มากกว่า 500,000 ราย ซึ่งวางขายสินค้าในร้านค้าของ Amazon และอาจทำให้ตำแหน่งงานกว่า 1 ล้านตำแหน่งที่เกิดจากธุรกิจเหล่านี้ ต้องตกอยู่ในความเสี่ยง”

ทางด้าน Google กล่าว่า กฎหมายนี้จะทำให้บริษัทเสนอบริการฟรี เช่น Google Search และ Google maps ได้ยากขึ้น และจะทำให้บริการเหล่านั้นปลอดภัยและมีความเป็นส่วนตัวน้อยลง ส่วน Facebook ซึ่งได้ชื่อว่ามีโซเชียลมีเดียในมือครบทุกทาง รวมถึง Tiktok และ Twitter กล่าวว่ากฎหมายป้องกันการผูกขาดไม่ควรมีเจตนาที่จะถอดผลิตภัณฑ์และบริการที่ประชาชนต้องพึ่งพาการใช้งานออกไป

กระนั้น ตัวแทนสำนักงานของคลอบูชาร์กล่าวในแถลงการณ์ว่ามีหลายบริษัทที่แสดงความเห็นชอบต่อกฎหมายนี้ เช่น Spotify, Roku, Match Group และ DuckDuckGo ส่วน สเตซี่ มิทเชลล์ ผู้อำนวยการร่วมของสถาบันการพึ่งพาตนเองประจำถิ่น (Institute of Local Self-Reliance) ให้ความเห็นว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้จะทำลายบริษัทหรือบังคับให้บริษัทเหล่านี้ต้องหยุดให้บริการ แต่แค่ห้ามพฤติกรรมผิด ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่อาศัยแพลตฟอร์มเหล่านี้เท่านั้น

เครดิตภาพ : Reuters