สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงไนโรบี ประเทศเคนยา เมื่อวันที่ 26 ก.ย. ว่ารายงานโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ และบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ ระบุว่า ภายในปี 2593 ความต้องการเครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น และยานพาหนะแช่เย็นจะเพิ่มขึ้น 7 เท่าในแอฟริกา และ 4 เท่าในเอเชีย

นายมัคตาร์ ดิย็อป ผู้อำนวยการใหญ่ไอเอฟซี กล่าวว่า ประเทศเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบร้ายแรง จากอุณหภูมิที่สูงขึ้น และความต้องการเพิ่มความเย็นอย่างเร่งด่วน ซึ่งเป็นผลจากการขยายของเมืองและประชากร ส่งผลให้ความต้องการอุปกรณ์ทำความเย็นเพิ่มขึ้น

รายงานระบุว่า ภาคส่วนทำความเย็นใช้พลังงานไฟฟ้า 1 ใน 5 ของโลก และความต้องการจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ภายในอีก 26 ปีข้างหน้า พร้อมแนะนำให้สร้างความสมดุลระหว่างผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศ และความต้องการตู้เย็นเพื่อป้องกันสินค้าที่จำเป็นไม่ให้เสียหาย เช่น พืชผลและวัคซีน

นางอิงเกอร์ แอนเดอร์เซน ผู้อำนวยการยูเอ็นอีพี กล่าวว่า การรักษาความเย็นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงทำลายสถิติ อย่างไรก็ตาม “เราต้องหลีกเลี่ยงการทำให้โลกร้อนขึ้นอีก”

ยูเอ็นอีพีและไอเอฟซีจัดตั้ง “แนวร่วมเพื่อความเย็น” โดยมีประเทศพันธมิตร 130 ราย เพื่อพัฒนาวิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืน และใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดค่าไฟฟ้า

หน่วยงานทั้งสองแห่งเรียกร้องให้ภาคเอกชนเพิ่มการลงทุน คาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมความเย็นในประเทศกำลังพัฒนา จะขยายตัวเป็น 2 เท่า หรือเติบโตปีละ 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ราว 19 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2593 พร้อมเน้นย้ำถึงการแก้ปัญหาเชิงรับ เช่น การใช้วัสดุสะท้อนแสง และการปลูกต้นไม้เพื่อสร้างร่มเงา.

เครดิตภาพ : AFP